Fake Masked Rider : 365 Day & 26 Princess - Fake Masked Rider : 365 Day & 26 Princess นิยาย Fake Masked Rider : 365 Day & 26 Princess : Dek-D.com - Writer

    Fake Masked Rider : 365 Day & 26 Princess

    ขณะที่สีถูกแต่งแต้มลงไปบนแผ่นกระดาษสีขาวที่กว้างใหญ่ จนเกิดเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่ง หากแต่สีที่แต่งแต้มลงไป..ไม่ได้มีเพียงเรื่องราวเดียว บทละครและวันวานที่ล่วงผ่านไป ได้ทำให้เรื่องราวนี้เริ่มขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    416

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    15

    ผู้เข้าชมรวม


    416

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    5
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.พ. 60 / 12:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     
    Fake Masked Rider : R&Y&B&BL&W
    ; 365 Day & 26 Princess
     
     
     
     
    ณ โลกที่ถูกรังสรรค์ขึ้นแห่งนี้

    เต็มไปด้วยเรื่องราวของเหล่าชีวิตมากมาย

    ที่ต่างพากันดำเนินเรื่องราวในรูปแบบของตน

    หนึ่งในบรรดาเรื่องราวเหล่านั้น
     
    เรื่องราวของเหล่าเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรทั้งยี่สิบหก

    ได้เป็นอีกหนึ่งเรื่องราว

    ที่เส้นทางแห่งชีวิต
     
    มาบรรจบกับเส้นทางแห่งชีวิตอื่น
     
    สีของเส้นทางนั้นถูกลิขิตไว้เช่นไร ?
     
    สีใดคือตัวตนของพวกนาง ?
     
    ..ทุกอย่างเป็นไปตามที่ชะตาลิขิตไว้..
     
     
     






    หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นการนำ การ์ตูน เกม ภาพยนตร์ นิยาย ต่าง ๆ มาผสมรวมกันจนเกิดเป็นเรื่องนี้ขึ้น จึงมีเหตุการณ์หรือตัวละครที่มีชื่อหรือลักษณะคล้ายคลึงกับต้นฉบับเป็นอย่างมาก ทำให้เรื่องนี้อาจจะขาดความคิดสร้างสรรค์หรือเนื้อหาที่ดี จึงต้องขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วย
     
     
     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

           ไม่ว่าใคร..ก็ไม่อาจเลือกเกิดได้


           ตัวเราที่เกิดขึ้นมาในอาณาจักรแห่งนี้ เฝ้าคิดเช่นนั้นมาตลอด


           ณ ดินแดนที่เต็มไปด้วยแสงสี ชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ไม่ว่าจะทั้งเสื้อผ้า, ทรัพย์สิน, รูปลักษณ์, การศึกษา หรืออะไรก็ตาม ทุกอย่างต่างดลบันดาลให้ตัวเราสมหวังทุกประการ


           แต่เมื่อมองออกไปข้างนอก..มองไปยังสุดขอบฟ้านั้น ก็ทราบดีว่ายังมีสถานที่อื่น ๆ อีกมากมายที่ทั้งเหมือน และแตกต่างจากอาณาจักรแห่งนี้


           สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ทุกวันแสงตะวันที่สอดส่องยามรุ่ง และดวงดาราระยิบระยับยามค่ำ


           ในขณะที่ความแตกต่างนั้นมีนับไม่ถ้วน ทั้งความอุดมสมบูรณ์-โรคระบาด, ความสงบสุข-สงคราม, ความมั่งคั่ง-ความอดอยาก, การมีมีชีวิต-ความตาย ฯลฯ


           ชีวิตคืออะไร..?


           สาเหตุและเหตุผลของการคงอยู่ของทุก ๆ ชีวิตคืออะไร..?


           คำตอบนี้แม้แต่เหล่าผู้ปกครองสวรรค์ ก็คงยังมิอาจล่วงรู้


           พวกเราต่างดำเนินไปตามที่ถูกลิขิตไว้ เพื่อบางอย่าง..


           ทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ครั้งที่ 'โลกเก่า' ได้ถูกมอดไหม้ด้วยเพลิงสีดำ


           ว่าโลกนี้ยังมีบางอย่างอยู่เบื้องหลังที่พวกเราไม่ได้รู้สึกตัวเลย


           คำสอนของเหล่าผู้อยู่บนสรวงสวรรค์สอนไว้ว่า 'ชีวิตไม่ควรถามในเรื่องที่ไม่ควรรู้ และไม่ควรรู้ในสิ่งที่เกินกว่าชะตาของตนเอง'


           ผู้ที่ละเมิดคำสอนดังกล่าว อาจจะมีนับไม่ถ้วนในทั้งโลกแห่งนี้ 


           แต่พวกเขาก็สาบสูญและถูกลืมเลือนไป


           การที่ตัวตนของชีวิตหนึ่งชีวิต หายไปโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้


           อาจจะเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า การถูกฆ่าหรือการตายเสียอีก


           ต่อให้เสียไปหนึ่งชีวิตก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


           แต่เมื่อมีการเกิดกลับเต็มไปด้วยความหวังจากผู้อื่น


           โลกเป็นเช่นนี้โดยตลอดมา


           บางทีตัวเราที่รู้มากเกินไปก็อาจจะหายไปในไม่ช้าเช่นกัน


           แต่การหายตัวไปของตัวเรา จะแตกต่างกับครั้งอื่น ๆ


           ..เพราะครั้งนี้ ตัวเราจะทำให้โลกต้องได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดให้ได้..!



      ลงนาม     
      เจ้าหญิงแ---ฑิเี

       

      .
      .
      .
      .



           "ในอีกไม่ช้าก็จะถึงที่หมายแล้วขอรับ" 


           ชายผู้คุมรถม้าส่งเสียบกระซิบให้กับคนที่อยู่ข้างใน ขณะที่พวกเขาใกล้มาถึงสถานที่สำคัญที่ชีวิตนี้ คนที่ไม่มีฐานะ-บรรดาศักดิ์อาจจะไม่มีโอกาสได้ย่างก้าวเข้ามา ณ ที่แห่งนี้


           "ไหน ๆ จะถึงแล้วงั้นหรือ!?"


           "เดี๋ยวสิเพคะเจ้าหญิง ช่วยสำรวมกิริยาด้วยค่ะ"


            เด็กสาวไม่ฟังคำทัดท้านจากคนรับใช้ของนางแล้วเคลื่อนไปที่หน้าต่าง ดวงตาของนางลุกวาวเป็นประกาย ภาพของแสงจากสถานที่แห่งนั้นสะท้อนอยู่ในตาของนาง ความรู้สึกประทับใจที่เอ่อล้นออกมาโดยไม่มีการปิดบัง


           "ใหญ่จังเลย และยังสวยงามมาก ๆ ด้วย สวยเสียยิ่งกว่าปราสาทของพวกเราเสียอีก"


           "แน่นอนค่ะ เพราะที่นี่เป็นเหมือนหัวใจสำคัญของดินแดนแห่งนี้ สถานที่ที่เป็นศูนย์กลางของปวงชนทุกอาณาจักร และเป็นที่ที่จะกำหนดความยิ่งใหญ่ของแต่ละอาณาจักร.."


           "ปราสาทแห่งธริษตรี"


           เจ้าสาวเอ่ยนามของปราสาทที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในทุกอาณาจักร 
      พลางมองดูความงดงามของที่แห่งนั้นโดยไม่กระพริบ


           ปราสาทที่เรืองแสงดุจดั่งดวงดารายามราตรี ส่องประกายเสียยิ่งกว่าเพชรเม็ดงาม เจิดจรัสยิ่งกว่าทองคำและสมบัติทั้งมวล ราวกับสิ่งที่งดงามทั้งหมดของโลกได้มารวมอยู่ ณ ที่แห่งนี้ 


           "เจ้าหญิงคะ เข้าใจค่ะว่ากำลังประทับใจ แต่ว่าช่วยสำรวมกิริยาด้วยค่ะ"


           "อะ ขะ..ขอประทานโทษค่ะ"


           เมื่อถูกตักเตือนเจ้าหญิงก็ระงับความตื่นเต้นแล้วกลับลงนั่งอย่างเรียบร้อย


           "อีกประการนะเพคะเจ้าหญิง ที่พวกเรามาที่แห่งนี้ ก็ไม่ได้มาเที่ยวเล่นนะเพคะ" คนรับใช้หญิงกล่าว "อาณาจักรของพวกเราจะเป็นเช่นไร ทั้งหมดขึ้นอยุ่กับทุกสิ่งที่ท่านปฏิบัติในสถานที่แห่งนี้ และทรงจำไว้ว่าไม่ได้มีแค่ท่านคนเดียวที่มาที่นี่นะเพคะ"


           "เจ้าหญิงจากอาณาจักรทั้งยี่สิบหกจะมารวมตัวกัน เพื่อร่วมพิธีฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนแห่งนี้ 'การคัดเลือกแห่งโลกา' " เจ้าหญิงทบทวนสิ่งที่ตนต้องมากระทำ ณ ที่ปราสาทแห่งนี้เป็นต้นไป


           "ถ้ายังทรงจดจำได้ก็ช่วยแสดงกิริยาที่สมวัย และลดความเป็นตัวเองลงด้วยเพคะ ที่นี่ไม่เหมือนกับที่อาณาจักรของพวกเราที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ"


           คำพูดของคนรับใช้หญิงทำให้เจ้าหญิงซึมลงไปบ้าง และจู่ ๆ เธอก็พูดขึ้น..


           "นี่อัลคามาร์..คิดว่าเราจะทำได้จริง ๆ หรือ เราจะสามารถเป็นอย่างที่อาณาจักรหวังได้รึเปล่า แล้วเราจะเป็นผู้คัดเลือกได้จริงไหม ?"


           "ท่านต้องทำได้อยู่แล้วค่ะเจ้าหญิง" อัลคามาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนต่อเจ้าหญิงที่สูญเสียความมั่นใจ
           "ท่าไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่ปวงชน หรือใครก็ตามหวังให้เป็น ขอให้ท่านเป็นเจ้าหญิงที่มีจิตใจงดงาม ผู้นำพารอยยิ้มมาแก่คนของท่านได้อย่างที่เคยเป็นมาตลอดเท่านั้นก็เพียงพอแล้วค่ะ"


           "อัลคามาร์.."


           "แต่ก็สำรวมกิริยามารยาทด้วยนะเพคะ ต้องนี้สำคัญมาก"


           "โธ่ ต้องเป็นทั้งตัวของตัวเอง และยังต้องสำรวมแบบนั้นยากมากเลยนะ อัลกามาร์นี่เหมือนคนแก่เลย"


           "นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกค่ะ เจ้าหญิงยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก จากนี้ไปก็จงศึกษาและเรียนรู้ เพื่อที่พัฒนาไปสู่การเป็นเจ้าหญิงที่ดียิ่งขึ้นนะเพคะ"

           "แล้วก็จะไม่เอาเรื่องที่พูดประโยคท้ายนั้นนะคะ" อัลกามาร์เมื่อมีรอยปูดแห่งความขุ่นเคืองขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งแต่ก็หายวับไปในชั่วพริบตา

           "..."


           "เข้าใจแล้วค่ะ จะพยายามค่ะ" เจ้าหญิงชูสองนิ้วพร้อมส่งรอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ให้อัลคามาร์ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เธอรู้สึกเบาใจลง


           หลังจากนั้นรถม้าก็ข้ามสะพานเข้ามาภายในปราสาท


           เมื่อรถม้าหยุดนิ่งได้เรียบร้อยแล้ว ประตูก็ถูกเปิดออกด้วยพ่อบ้านในชุดสูท พร้อมกับเสียงต้อนรับจากคนนับร้อยว่า


           "ยินดีต้อนรับสู่
      ปราสาทแห่งธริษตรีครับ/ค่ะ เจ้าหญิงแห่งจันทรา"


           เพียงแค่หน้าทางเข้าก็ถูกจัดแต่งไปด้วยเครื่องประดับมากมายนับไม่ถ้วน บรรกากาศภายในปราสาทเป็นสีทองผิดกับข้างนอก แต่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ไม่ต่างกัน คนรับชาย-หญิงทั้งหลายนี้ต่างก็ดูเป็นคนที่ได้รับการอบรมฝึกสอนมาอย่างดี


           พ่อบ้านส่งมือช่วยให้เจ้าหญิงลงรถม้ามาได้อย่างงดงาม อัลกามาร์ก็ลงตามมาหลังจากนั้น


           "ผู้ดูแลเจ้าหญิงจันทราคือผู้ใด ?" พ่อบ้านกล่าวต่อหน้าเหล่าคนรับใช้ทั้งหมด แล้วก็มีเมดผมสีแดงเข้มก้าวออกมาถอนสายบัวต่อหน้าเจ้าหญิง


           "ซากิ มิสึชิมะค่ะ จากนี้ไปจะคอยเป็นผู้อำนวยความสะดวกและแนะนำสิ่งต่าง ๆ ในปราสาทนี้ให้ท่านค่ะ"


           "ขอรบกวนด้วยนะคะ" เจ้าหญิงเผลอตัวถอนสายบัวกลับ


           "เจ้าหญิงคะ" อัลกามาร์ที่อยู่ข้างหลังส่งเสียนเตือนทำให้นางรู้ตัว


           "จริงสิ เจ้าหญิงไม่ควรทำแบบนั้นนี่นะ.."


           เมดสาวยิ้ม และพลางมือไปทางบันได "เชิญทางนี้ค่ะ จะพาไปยังห้องของท่านให้ก่อนค่ะ"


           "ส่วนสัมภาระอื่นและรถม้าพวกเราจะจัดการให้ในภายพลังขอรับ" พ่อบ้านชายบอก ก่อนที่จะส่งหน้าที่ที่เหลือให้กับเมดสาวต่อ


           เจ้าหญิงและอัลกามาร์ตามเมดไป


           ระหว่างที่เดินเจ้าหญิงก็ชื่นชมความงามของภายในปราสาทไปด้วย ทั้งที่เป็นตอนกลางคืน แต่ภายในปราสาทแห่งนี้กลับสว่างราวกับเป็นตอนกลางวัน หรืออาจจะงดงามเสียยิ่งกว่า


           ทางเดิน สถานที่ต่างถูกจัดเตรียมและทำความสะอาดเป็นอย่างดี และสมบูรณ์แบบ จนไม่มีข้อติเตียนใด ๆ


           แม้แต่อัลกามาร์ที่เคร่งในเรื่องความสะอาดก็ยังหาจุดบอดของที่นี่ไม่ได้เลย ตั้งแต่ที่ย่างก้าวมายังที่แห่งนี้


           ถึงจะงดงามแต่คงเป็นเพราะที่กว้างใหญ่มาก เจ้าหญิงรู้สึกเหมือนเดินผ่านห้องที่ดูคล้ายกันจนแยกไม่ออกมานับสิบห้องได้แล้ว
           แต่ว่าการดูความต่างแต่ละห้องนั้นค่อนข้างง่าย เพราะแต่ละห้องจะมีชื่อติดไว้เหนือประตู ซึ่งแต่ละชื่อก็เป็นชื่อของอาณาจักรของตนเอง


           (กรณีตัวเราก็คงจะเป็นจันทราสินะ..)


           ในที่สุดหลังจากที่เดินมาได้สักพัก พวกนางก็มาถึงห้องที่มีชื่อจันทราติดไว้เหนือห้อง


           เมดสาวเปิดประตูห้องและก้มหัวให้เจ้าหญิง "เชิญชมห้องก่อนได้ค่ะ หากไม่พอใจทางเราจะจัดเตรียมห้องที่ดีกว่าให้ในทันทีค่ะ"


           เจ้าหญิงและอัลกามาร์เข้ามาลองชมในห้องของพวกตน


           ดูจากภายนอกคงจะคิดไม่ถึงว่าห้องนี้นั้นกว้างใหญ่มากถึงขนาดนี้ เป็นห้องที่มีทุกอย่างเพรียบพร้อมไปทั้งอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับเจ้าหญิง(หรือผู้หญิง) เสื้อผ้านับร้อย อ่างอาบน้ำส่วนตัวที่กว้างพอจะลงไปได้มากกว่าสิบคน โรยไปด้วยดอกกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอมอย่างที่สุด


           อัลกามาร์ทำหน้าที่ของตัวเองตรวจสอบทุกซอกทุกมุม เพื่อค้นหาจุดบกพร่องหรืออันตรายที่อาจซุกซ่อนอยู่ และผลก็ออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง


           "ที่นี่สมบูรณ์แบบเพคะ ไม่มีสิ่งสกปรกหรืออันตรายใด ๆ"


           "ถึงจะดูมากเกินไปหน่อย แต่ขอบใจมากนะอัลกามาร์" เจ้าหญิงกล่าว


           "เป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้วค่ะ"


           "ถ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ ทราบดีกว่าพวกท่านต่างเพิ่งเดินทางมาถึง น่าจะเหนื่อยล้าไม่น้อย แต่ว่าพิธีกำลังจะเริ่มภายในหกชั่วโมงถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยเตรียมตัวในทันทีด้วยค่ะ" 


           "ไม่เป็นไร ฉันรู้ดีว่าเป็นฉันเองที่ทำให้มาถึงช้าแล้วไม่มีเวลาพักเช่นนี้" เจ้าหญิงตอบ


           "ดิฉันกับเมดคนอื่น ๆ จะมาช่วยเตรียมตัวค่ะ" เมดสาวกล่าวแต่อัลกามาร์แย้งขึ้น


           "เดี๋ยว ฉันยังไม่ไว้ใจให้ใคนอื่นมาแตะเนื้อต้องตัวเจ้าหญิงของพวกเรา เดี๋ยวตัวฉันจ-"


           "อัลกามาร์ ที่นี่เป็น
      ปราสาทแห่งธริษตรีนะคะ คุณบอกเองนะว่าให้ทำตัวให้สมวัย ตอนนี้เราควรให้พวกเขาได้ทำหน้าที่ของพวกเขาเป็นการตอบแทนน้ำใจและหน้าที่การงานของพวกเขาสิ" เจ้าหญิงบอกกับอัลกามาร์ "และถ้าอัลกามาร์ทำให้ฉันคนเดียว ต่อให้มีหกชั่วโมงก็ไม่ทันหรอก"

            "แล้วฉันก็รู้ดี..ว่าสิ่งที่สิ่งที่ฉันต้องทำนั้นสำคัญแค่ไหน.."



           "..."



           "นั่นสินะเพคะ ต้องขออภัยด้วยค่ะ"


           "คุณ..ซา..?"


           "ซากิ มิสึชิมะค่ะ จะเรียกอย่างไรก็แล้วแต่สะดวกเลยค่ะ"


           "งั้นซากิ ช่วยนำคนของคุณมาช่วยแต่งประดับเครื่องให้ฉันทีหลังจากที่ฉันชำระร่างกายเสร็จ ภายในหกชั่วโมงนี้จะต้องทำให้ออกมาดีที่สุด" เจ้าหญิงกล่าว


           "ทราบแล้วค่ะ ขอเดิมพันด้วยเกียรติของเมดค่ะ" ซากิกดปุ่มที่ข้างประตู แล้วไม่นานเหล่าเมดก็เข้ามาในห้อง พร้อมทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่เจ้าหญิงค่อย ๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนเพื่อลงไปชำระร่างกายในอ่างที่จัดเตรียมไว้




           
           และแล้วเวลาหกชั่วโมงนั้นก็ผ่านไป...






           เหล่าผู้ติดตามต้องห่างจากนายของตนจนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่แต่ละนางจะปรากฏขึ้นบนเวทีเพื่อเผยโฉมให้แก่ทุกอาณาจักร


           ชนชั้นสูงรวมถึงผู้ติดตามของเหล่าเจ้าหญิงแต่ละนางเข้ารวมงานเลี้ยงในค่ำคืนแรก อาหารที่เพรียบพร้อม ได้รับการปรุงแต่งการพ่อครัวชั้นเลิศของที่นี่ บางคนรวมสนุกกับงานเลี้ยง สังสรรค์กับผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ บางคนเฝ้ารอเวลาที่เหล่าเจ้าหญิง(ของตน)จะปรากฏโฉมออกมา


           เมดและพ่อบ้านต่างทำหน้าที่ของพวกตนในงานอย่างแข็งขัน

       
           พิธีนี้ถูกถ่ายทอดสดไปยังอาณาจักรอื่น ๆ เพราะเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ไม่ว่าใครก็จะต้องไม่ผ่านช่วงเวลาแห่งความสำคัญนี้


           ในที่สุดเวลานั้นก็มาถึง..


           ชายผู้รับใช้ผู้สถิตบนสรวงสวรรค์ก้าวขึ้นมาบนปะรำพิธี
           และเริ่มกล่าวพิธีเปิด พร้อมเริ่มกล่าวเชิญเจ้าหญิงแต่ละอาณาจักรให้ขึ้นมาบนเวที


           "เจ้าหญิงคนแรก เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด"


           เจ้าหญิงผมยาวสลวยสีแดง ภายในชุดราชวงค์สีแดงเข้มที่ดูมีภูมิฐานและความน่าเกรงขามมากกว่าความงดงาม นางเดินขึ้นมาด้วยสีหน้าที่มั่นคงและแน่วแน่จนอาจจะดูผิดไปจากเจ้าหญิงมาก แต่ว่านี่ก็อาจจะเป็นความเฉพาะของอาณาจักรนี้


           นางเดินออกมาตรงกลางเวทีเพื่อให้ทุกคนได้ชมเด็ดเดี่ยวของนาง ก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนแท่นพิธี


           "เจ้าหญิงคนสอง เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม"


           เจ้าหญิงคนต่อไปก้าวขึ้นมา และตามด้วยคนถัดไปด้วยเวลาที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปนัก


           อัลกามาร์ที่เฝ้ามองอยู่อย่างระสับระส่ายโดยที่มีซากิคอยยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ได้สนใจเจ้าหญิงใด ๆ ที่ก้าวขึ้นมาบนเวทีนัก
           จนในที่สุด..


           "เจ้าหญิงคนที่ยี่สิบห้า เจ้าหญิงแห่งจันทรา"


           เมื่อได้ยินเช่นนั้น อัลกามาร์เงยหน้าขึ้นและมองดูยามที่เจ้าหญิงของตนก้าวขึ้นไปบนเวที


           ความนิ่งสงบของนาง ความงดงามทุกอย่างก้าว ความงดงามที่ในอาณาจักรของนางไม่มีใครเทียบเคียง เจ้าหญิงแห่งจันทราก้าวเดินไปกลางเวทีด้วยความงดงามดุจดั่งดวงจันทร์เพ็ญบนท้องนภา และโดดเด่นท่ามกลางความมืดมิด


           เท่านี้อัลกามาร์ก็ปลาบปลื้ม และชื่นชมกับเวลาเอาจริงคงนางจนแทบจะสลบอยู่แล้ว


           เจ้าหญิงแห่งจันทรายืนได้สักพักหนึ่งก็ขึ้นไปบนแท่นพิธีเหมือนกับเจ้าหญิงคนอื่น ๆ


           และแล้วก็มาถึงคนสุดท้าย..


           "คนสุดท้าย เจ้าหญิงคนที่ยี่สิบหก เจ้าหญิงแห่งมรกต"


           เจ้าหญิงคนสุดท้ายก้าวขึ้นมาบนเวที ผมสีเขียวสมกับชื่ออาณาจักรของนาง ที่ถูกรวบไว้และเกล้าให้ดูสง่า ชุดเดรสสีเขียวใบไม้ ท่วงท่าการเดินที่สงบนิ่งราวกับจันทรา แต่เปี่ยมไปด้วยพลังมากกว่าความอ่อนโยน ความงดงามที่ต่างไปจากของจันทรา


           นางเดินมาถึงกลางเวทีแห่งถอนสายบัวต่อหน้าผู้ร่วมงานทุกท่าน


           ซึ่งนั่นสร้างความแปลกใจให้กับทั้งเจ้าหญิงแห่งจันทรา และอัลกามาร์ด้วย และบางทีอาจจะรวมถึงเจ้าหญิงและคนอื่น ๆ ด้วย


           จากนั้นนางก็ขึ้นไปบนแท่นพิธีเฉกเช่นเจ้าหญิงคนอื่น ๆ


           บรรดาเจ้าหญิงที่มารวมตัวกันมีทั้งหมดดังนี้
           1.เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด
           2.เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม
           3.เจ้าหญิงแห่งปัญญา
           4.เจ้าหญิงแห่งความสิ้นสุด

           5.เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล
           6.เจ้าหญิงแห่งความรัก
           7.เจ้าหญิงแห่งความเขลา
           8.เจ้าหญิงแห่งอิสัตรี
           9.เจ้าหญิงแห่งดวงดารา
           10.เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน
           11.เจ้าหญิงแห่งตรงกันข้าม
           12.เจ้าหญิงแห่งดุริยางค์
           13.เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง
           14.เจ้าหญิงแห่งโชคชะตา
           15.เจ้าหญิงแห่งความชั่งใจ
           16.เจ้าหญิงแห่งพละกำลัง
           17.เจ้าหญิงแห่งมิโกะ
           18.เจ้าหญิงแห่งเยาว์วัย
           19.เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์
           20.เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์
           21.เจ้าหญิงแห่งหอคอย
           22.เจ้าหญิงแห่งราชรถ
           23.เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา
           24.เจ้าหญิงแห่งสุริยัน
           25.เจ้าหญิงแห่งจันทรา
           26.เจ้าหญิงแห่งมรกต



           เมื่อเจ้าหญิงทั้งยี่สิบหกจากทั้งยี่สิบห้าอาณาจักรได้มารวมกันครบครัน เหล่าผู้ร่วมงานทุกท่านต่างก็พากันลุกขึ้นยืน เพราะพิธีกำลังจะเริ่มขึ้น..


           เปลวเพลิงชำระล้าง-ไฟสีน้ำเงินลุกโชดช่วงขึ้นในพานเบื้องหน้า แสงสว่างรอบห้องค่อย ๆ ถูกชกชิงไป จนทั้งห้องตกสู่ความมืด เหลือเพียงไฟสีน้ำเงินนั้นเป็นแสงไฟสุดท้าย


           "แล้วขอเชิญเจ้าหญิงคนสุดท้ายแห่งอาณาจักรที่ยี่สิบหก 
      เจ้าหญิงแห่งธริษตรี จงมาเพื่อพบกับผู้สืบทอดของท่าน ณ ที่นี้ด้วย"
           เมื่อผู้รับใช้ผู้อยู่บนสรวงสวรรค์กล่าวเสร็จ ก็สาดน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงสู่เพลิงชำระล้างนั้น จนเกิดแสงวาบไปทั่วทั้งบริเวณ


           ทุกคนต้องหลับตาลงเมื่อแสงจ้าขึ้น และลืมตาอีกคงเมื่อแสงหายไป พร้อมแสงไฟรอบห้องกลับคืนมา


           "..."


           "..."


           "แล้วเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรีล่ะ ?"


           ทุกอย่างนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่แต่ละคนจะเริ่มสงสัยว่าทำไมเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรี ถึงไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนอย่างที่น่าจะเป็น เพราะทุก ๆ ครั้งที่ทำพิธีนี้ก็จะเป็นเช่นนั้นมาตลอด


           แต่สุดท้ายนางก็ปรากฏให้ทุกคนเห็นจริง ๆ ...


           บึ้ม!



           เศษหินร่วงหล่นลงมาจากข้างบน เหล่าผู้ร่วมงานต่างพากันแตกตื่น พวกเขารีบถอยห่าง ไม่เว้นแม้แต่พ่อบ้านหรือเมด หินหล่นลงมาสะเปะสะปะ จนอาจผ่านโดนใครก็ตาม แต่ดูเหมือนโชคยังดีที่ไม่มีใครเป็นผู้รับเคราะห์


            หรือว่าไม่กันแน่..


            ทันทีที่ทุกอย่างสงบลง เสียงเซ็งแซ่ก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง เหล่าเจ้าหญิงและผู้รับใช้ผู้สถิตบนสวรรค์ต่างตกตะลึง ผู้ร่วมงานต่างอ้ำอึ้ง ปวงชนที่กำลังชมการถ่ายทอดสดก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น


           หลังจากควันฟุ่นแห่งความวุ่นวายได้หมดลงไป สิ่งหนึ่งได้ถูกปล่อยลงมาในสภาพกลับหัว กางเขนทั้งสองข้างจนสุด ทั้งตัวถูกติดอยู่กับแผ่นเหล็กรูป +


           แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นได้มากกว่าไม่ใช่เพราะสภาพของเธอ แต่เพราะเธอคนนั้นคือ เจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรี..


           "นั่นมัน..อะไรกัน..?" สีหน้าของเจ้าหญิงแห่งจันทราในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากคนอื่น ทั้งสับสน ทั้งหวาดกลัว อยากเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในฉับพลันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่


           ระหว่างที่คนส่วนใหญ่กำลังสับสนไม่ได้สติที่คงตัว เจ้าหญิงแห่งจันทรามองผ่านเจ้าหญิง
      ธริษตรีที่ถูกห้อยหัว ไปยังส่วนปราสาทที่อยู่อีกฟาก เธอเห็นแสงสีฟ้าเรืองแสงอยู่เล็ก ๆ ณ ตรงนั้น แต่ไม่มั่นใจว่าคืออะไร


           จนกระทั่งมันเริ่มใหญ่ขึ้น..ใหญ่ขึ้น..ใหญ่ขึ้น..เพราะมันตรงเข้ามาที่พวกเธอ!



           เสียงของกระจกแตกที่ดังแสบแก้วหูไปทั้งห้อง แสงสีฟ้าทะลวงผ่านห้วงอากาศตรงไปที่ปะรำพิธี เหล่าเจ้าหญิงที่ไม่อาจป้องกันตัวได้ทันกำลังจะถูกความตายเข้ากลืนกิน


           !!!


           เสียงของระเบิดและแรงปะทะสั่นสะท้านไปทั่ว เหล่าเจ้าหญิงและคนอื่น ๆ ต่างยกมือขึ้นป้องหน้าด้วยลมกรรโชกที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันพร้อมแสงที่สว่างจ้า เปลวไฟสะท้อนและกระหลุดไปเผาจุดต่าง ๆ ในห้อง


           ทว่าลำแสงนั้นไม่ได้มาถึงตัวของเหล่าเจ้าหญิง จันทราลืมตาขึ้นและมองไปข้างหน้า เธอเห็นหนึ่งในเจ้าหญิงเพียงคนเดียวที่สามารถป้องกันสิ่งนั้นไว้ได้ เธอเพียงคนเดียวที่ใช้บางอย่างปกป้องพวกเธอเอาไว้


           เพียงไม่กี่อึดใจ แรงสั่นสะเทือนก็หายไป


           เจ้าหญิงผมสีเขียวสะบัดวงแหวนในมือ ผมที่รัดเกล้าไว้ถูกปล่อยออกมา ทำให้เส้นผมยาวของนางกลับมาเรียบตรงอีกครั้ง
           "อยู่ตรงนั้นเองรึ!"


           "เดี๋ยวก่อนเอเลนา!" เสียงของเจ้าหญิงคนหนึ่งดังขึ้น เหมือนจะห้ามในสิ่งที่เจ้าหญิงแห่งมรกตกำลังจะทำต่อไป แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว


           เจ้าหญิงแห่งมรกต(?) ใช้แรงถีบส่งตัวเองออกไป นางก็กลายเป็นเหมือนดาวตกที่พุ่งไปถึงยังจุดหมายได้อย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองทัน


           มือซ้ายถือวงแหวนที่ป้องกันเหล่าเจ้าหญิงเอาไว้ มือขวาถือดาบที่ปรากฏมาอยู่ในมือได้อย่างไร้วี่แวว เธอง้างดาบไปด้านข้างแล้วตวัดออกไปเป็นแนวขวาง


           คลื่นกระแทกถูกปล่อยออกไป แต่ศัตรูของเธอเอนหลังพิงกับหลังคาทำให้คลื่นดาบนั้นพลาดไปตัดผ่าเสาบนปราสาทจนขาดเป็นส่องท่อน


           เท้าซ้ายแตะถึงหลังคาและดีดตัวเข้าไป พริบตาเดียวกันกระบอกปืนขนาดยาวกว่าสองเมตรครึ่งก็เล็งมาที่เธอ ทันทีที่เหนี่ยวไกก่อนที่กระสุนจะถูกปล่อยออกมา เธอเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย รู้สึกถึงความเร็วของกระสุนที่ผ่านสีข้างเธอไป


           อาศัยใช้แรงพุ่งแทงดาบตรงเข้าไป แต่ดาบในมืออีกข้างของศัตรูก็ยกขึ้นปะทะกับเข้ากับตัวดาบจน ดีดกระเด็นไปข้างหลัง ถึงอย่างนั้นก็อาศัยแรงที่มีในมือซ้ายตวัดวงแหวนใส่เข้าไปในทันที


           วงแหวนวาดเข้าไประหว่างขาของศัตรูแต่ไม่ถึงตัว รู้ตัวอีกทีมันก็ขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะของเธอเสียแล้ว


           ดวงตาของศัตรูลุกเป็นไฟ เพลิงกลายเป็นเหมือนกระสุนให้แก่ปืน ก่อนที่จะเริ่มเหนี่ยวไกยิงกระสุนเพลิงออกมาอีกครั้งนับไม่ถ้วน


           เสียงระเบิดและปราสาทที่สั่นไหว เพียงการโจมตีนั้นก็รุนแรงพอจะทำให้ส่วนของปราสาทนั้นราบเป็นหน้ากองได้ในทันที


           ฝุ่นควันฟุ้งไปทั่ว แต่ไม่นานนั้นก็ถูกสลัดออกไปด้วยหญิงสาวผมสีเขียวที่พุ่งผ่านออกมาจากควันนั้น ในสภาพชุดที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


           ศัตรูยกดาบขึ้นป้องกันดาบของเธอได้ทันท่วงที แต่พลังที่จู่ ๆ ก็เพิ่มขึ้นเลยทำให้มันไม่อาจต้านทานไหวและกระเด็นถอยไปข้างหลัง


           ...


           ภาพของการต่อสู้ที่ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างรวดเร็ว ทำให้การมองจากระยะไกลแทบไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากแสงที่วูบวาบไปมา


           ขณะเดียวกันภายในงานพิธีก็เกิดความวุ่นวายและความโกลาหล เหล่าพ่อบ้าน, เมด, องค์รักษ์ และผู้ติดตามทั้งหลาย ต่างรีบพากันไปช่วยเจ้าหญิง แต่เพราะความวุ่นวายนี้สิ่งที่ควรจำได้เร็วจึงเป็นไปได้ช้า


           มีเพียงนางคนเดียวที่ยังมองดูภาพที่น่าสะเทือนใจอยู่กลางเวที..


           "เจ้าหญิง.." 


           ซากิวิ่งขึ้นมาหานางและบอกกับนาง "เจ้าหญิงแห่งจันทราคะ ได้โปรดรีบไปยังที่ปลอดภัยที่พวกเราจัดเตรียมด้วย" 


           "ซากิ..แล้วอัลกามาร์ล่ะ ?"


           "พลัดหลงกันระหว่างทางค่ะ แต่คงอยู่ใกล้ ๆ นี้"


           จันทราพยายามสอดสายตามองหาคนรับใช้ของนาง แต่ว่าเพราะความวุ่นวายและความโกลาหลนี้จึงทำให้ไม่อาจแยกแยะได้เลยว่าใครเป็นใคร


           "อัลกามาร์.."


           เจ้าหญิงแห่งจันทราตัวเริ่มสั่น..



           "อัลกามาร์.."


           หายใจเข้า-ออกถี่ขึ้น..


           "อัลกามาร์.."


           กอดแขนตัวเองและก้มหัวลง..


           "อัลกามาร์.."


           ขาไม่มีเรี่ยวแรงพอทีจะยืนต่อ..


           "อัลกามาร์.."


           ในหัวเริ่มวุ่นวาย จับต้นชนปลายใด ๆ ไม่ถูก


           "เจ้าหญิงคะ เจ้าหญิง!" ซากิพยายามเรียกสติของเจ้าหญิงแห่งจันทราแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เธอเอาแต่พึมพำว่าอัลกามาร์มาตั้งแต่เมื่อสักครู่






           ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่มีใครสังเกต

           ท่ามกลางความสับสน ทำให้ไม่มีใครรู้

           ท่ามกลางเสียงระเบิดและความกลัว ทำให้ไม่มีใครรู้สึก

           เมื่อบทเพลงนั้นได้ถูกขับร้องออกมา

           ความสงบก็กลับคืนมา

           เสียงที่ดังจนถึงเมื่อสักครู่นี้เงียบลงไป

           ความสับสนวุ่นวายมากมายสงบลง

           อะดรีนาลีนที่พุ่งสูงถูกทำให้ลดลง

           ความง่วงเข้าครอบงำแทน

           แต่ละคนเริ่มเคลิบเคลิ้มไปกับเพลงแล้วล้มลงไป

           แต่ละคนเริ่มหลงใหลในเสียงอันไพเราะจนหลับไปทั้งยืนก่อนที่จะร่วงลงไป

           เจ้าหญิงแห่งจันทราที่สับสนและหลงทางอยู่ในใจของตัวเองก็เหมือนถูกเสียงเพลงนั้นทำให้ลืมความขมขื่น และค่อย ๆ เอนตัวลงนอนไปกับระนาบพื้นโดยไม่รู้ตัว

           และแล้วทุกคนก็เข้าสู่ห้วงนิทราไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิงคนใด ผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ เหล่าพ่อบ้าน เมด โลกของพวกเขาได้ดับวูบลง..





           เสียงเพลงไม่ได้ดังก้องอยู่ในเพียงปราสาทแต่ยังกังวานออกมาข้างนอก


           เจ้าหญิงแห่งมรกต(?) ที่กำลังต่อสู้กับศัตรูของเธอ ได้ยินเสียงเพลงนั้นเช่นกัน


           "เพลง ?" จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง..


           เรี่ยวแรงเริ่มหายไป จนถืออาวุธไม่ไหว..


           แล้วอาวุธทั้งสองก็หลุดออกจากมือ..


           "เพลงนี้มัน.." เริ่มทรงตัวไม่อยู่ แต่ก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับตัวเธอทำให้สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดออกมา
           "ทะ..ทำไม..ถึงต้องมาเป็นตอนนี้ด้-.."

           ประกายแสงสีเขียวค่อย ๆ ร่วงหล่นตกลงไปสู่ความมืดมิด

           ในขณะที่ศัตรูของเธอก็มีสภาพไม่ต่างกันแต่มันตกลงในระหว่างช่องที่ตัวเองทำขึ้นในปราสาท


           ทุกคนภายในเขตรอบปราสาทต่างสลบใสล

           ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบ ไม่มีเสียงอื่นใด

           ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้

           เมฆสีดำค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาโดยไร้วี่แวว แล้วเข้าปกคลุมปราสาทจนหมดสิ้น

           ปราสาทแห่ง
      ธริษตรีถูกตัดขาดจากทุกสรรพสิ่งเบื้องนอกนั้น

           และบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ณ ดินแดนแห่งอาณาจักรแห่งนี้..

      .
      .
      .
      .
      .


      Fake Masked Rider : R&Y&B&BL&W 

      ; 365 Day & 26 Princess
       









           ไม่อยากที่จะต้องอยู่คนเดียว..

           ตั้งแต่ที่เราจำความได้ เราก็ไม่เคยแม้แต่ที่จะจดจำใบหน้าของแม่ผู้ให้กำเนิดได้

           ท่านเสียทันทีหลังจากที่เราได้ลืมตาดูโลกใบนี้

           เราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนับตั้งแต่นั้นมา

           สายตาของท่านพ่อที่มองดูตัวเรานั้น ช่างเย็นชาเสมือนฤดูหนาวของอาณาจักรเรา

           ไม่นานนักท่านก็ได้พบกับรักใหม่

           ตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งจันทราก็ตกไปสู่นางผู้นั้น

           นางช่างงดงามยิ่งนัก ไม่รู้ว่าท่านแม่ของเราจะสวยแบบนางหรือไม่

           แต่ใบหน้าของนางช่างหดหู่ และดูไม่มีความสุขแม้แต่น้อย

           ไม่นานนัก ก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น

           ท่านพ่อของเราสิ้นพระชนม์ลง

           ด้วยมีดในมือของรักใหม่ของท่าน

           เราไม่รู้ว่าทำไมนางต้องทำเช่นนี้ด้วย แต่เมื่อเรามองดูสีหน้าของนางในตอนนั้น

           นางดูมีความสุขผิดกับทุกครั้งที่ผ่านมา

           ผลสุดท้ายนางก็แขวนคอตัวเองในห้องขังคืนนั้น

           เราไม่อยากอยู่คนตัวเดียว..

           เหล่าขุนนางและคนรับใช้ต่างเลี้ยงดูเรานับจากนั้น และยกตำแหน่งให้เราเป็น เจ้าหญิงแห่งจันทราคนถัดไป

           และคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดนับแต่นั้นมาก็คือ อัลกามาร์

           นางเป็นทั้งคุณครู, เพื่อน, พี่สาว..และอีกหลายบทบาท

           กลายเป็นคนสำคัญ..ที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของเรา

           อาณาจักรแห่งจันทรา คืออาณาจักรที่เรารัก

           ไม่ว่าจะเป็นชาวเมือง สัตว์ใหญ่-สัตว์เล็ก พืชพรรณ ทุกชีวิตล้วนเป็นสิ่งที่เรารัก

           พวกเขาทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

           ใช่..ตัวเรา..ไม่อยากที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียว..




















            ความมืดมิด..ความเงียบสงัด กลิ่นของน้ำผสมกับแชมพู และกลิ่นของดอกไม้ ไม่รู้สึกว่าร้อนหรือเย็นเกินไป พื้นที่ล้มนอนอยู่ก็ช่างคุ้นเคยแม้จะเพิ่งเคยสัมผัสได้ไม่นาน หน้าต่างที่ควรจะมีแสงจันทร์หรือแสงของดวงดาวสอดส่องลงมา กลับดำมืดเพราะเมฆสีดำอึมครึมเบื้องนอก


           หญิงสาวในชุดเดรสสีเงินส่องแสงระยิบระยับในความมืด ดันตัวเองขึ้น หลังจากที่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากนินทรา


           ภาพที่มองเห็นผ่านสายตาเป็นภาพมัวหมอง แต่ในเวลาเพียงไม่ช้าดวงตาก็ปรับสภาพกับความมืดได้ จนเริ่มสามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น


           สิ่งแรกที่มองเห็น ไม่ใช่ผนังที่มีศิลปะวิจิตรตา ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ที่หรูหรา ไม่ใช่เสื้อผ้าที่งดงาม แต่เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวหนึ่ง ยืนอยู่หน้าประตูที่แง้มเปิดอยู่เล็กน้อย


           ดวงตาสีแดง ขนสีขาวเนียนราวหิมะ ขนาดตัวที่เหมือนแมวทั่วไป พร้อมด้วยโบสีขาวขนาดใหญ่


           มันจ้องเข้ามาที่ดวงตาของหญิงสาวอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะลุกขึ้น แล้วก้าวเดินผ่านช่องประตูที่เปิดไว้ไป


           "..ด..เดี๋ยวก่อน.."


           หญิงสาวผลักตัวเองเพื่อลุกขึ้นยืน แต่รู้สึกเหมือนหน้าจะมืดเพราะร่างกายยังปรับได้ไม่คงที่


           ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนก้าวเดินไป แม้จะยังรู้สึกมึนศีรษะอยู่เนือง ๆ


           ยื่นมือไปเปิดประตู แล้วออกไปจากห้องของตัวเอง


           (..แต่ว่า..ทำไมเราถึง..มาอยู่ที่ห้องตัวเองได้ล่ะ..)


           ข้างนอกห้อง รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่มากกว่าข้างในหลายเท่าตัว ความมืดปกคลุมเป็นทางยาวจนไม่อาจมองเห็นปลายทาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นปราสาทที่สว่างเสียยิ่งกว่าเวลากลางวันแท้ ๆ


           เมฆสีดำ...


           สิ่งน่าอึดอัดที่ปกคลุมทั่วทั้งปราสาทอยู่ ณ ตอนนี้ มาจากกลุ่มก้อนสีดำอึมครึม ที่รอบล้อมไปทั่วทั้งปราสาท ได้ยินเสียงคล้าย ๆ เสียงฟ้าร้องดังอยู่ข้างในหมู่เมฆนั่น


           ทางในปราสาทช่างรู้สึกวังเวงพิกล เนื่องจากมองอะไรแทบไม่เห็น จึงได้แต่เดินตรงไปตามทาง


           (แมวตัวนั้น..ไปไหนเสียแล้ว..?)


           แสงสีขาวที่เรืองแสงอยู่เนือง ๆ อยู่ในความมืดมิด รูปร่างที่เล็ก แต่ด้วยสีของมันทำให้ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้


           หญิงสาวที่ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ได้แต่ไล่ตาม 'แสง' เพียงหนึ่งเดียวที่เธอมองเห็นในตอนนี้


           จนกระทั่งสิ่งนั้นหักเลี้ยวเข้าห้องห้องหนึ่งไป..


           "โอ๊ย/ว้าย!"


           ทันทีที่เลี้ยวตามหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนกระแทกกับบางสิ่ง..หรือว่าใครบางคน..


           "เจ็บ ๆ" ที่หน้าผากของเธอมีรอยแดงอยู่เล็กน้อย แต่มันไม่สำคัญกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้
           "เอ๊ะ เธอคือ.."


           "..เจ็บจังเลย.." หญิงสาวผมสั้นสีดำ ในชุดเดรสสีชมพูอ่อน ดูอ่อนโยนและสดใสดุจดั่งแสงตะวันที่คอยมอบแสงสว่างแก่โลกอย่างอ่อนโยน ล้มอยู่เบื้องหน้าเธอ


           "เจ้าหญิงแห่งสุริยัน..?"


           "..ค่ะ เจ้าหญิงแห่งสุริยันค่ะ คุณคือ.." เจ้าหญิงลืมตาขึ้นและมองมาข้างหน้า และกว่าเธอจะรู้ตัวก็ใช้เวลาไปเกือบห้าสินาที
           "เจ้าหญิงแห่งจันทรารึคะ!?"


           ด้วยอาการดีอกดีใจ สุริยันกุมมือของจันทรา แล้วเขย่าขึ้น-ลงไปมาติดต่อกันหลายครั้ง


           "เจ้าหญิงแห่งสุริยันคะ ทราบไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น ยามที่ตัวฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่ามาอยู่ในห้องตัวเองเสียแล้ว แต่ว่าไม่ว่าพยายามออกตามหาเพียงไรก็ตาม ก็หาได้เจอผู้อื่นไม่"


           "ตัวฉันเองก็เพิ่งตื่นเช่นกันค่ะ ก็ไม่ทราบเหมือนกัน"


           "เช่นนั้นหรือคะ.." เจ้าหญิงทั้งสองต่างซึมลง เหมือนรู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้รู้อะไรไปมากกว่ากัน


           ระหว่างนั้นเองจันทราก็หนึ่งขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง "จริงสิคะ เจ้าหญิงแห่งสุริยัน ตอนนี้แมวเดินไปทางใดหรือคะ ?"


           "แมว ?" สุริยันเอียงคอสงสัย


           "แมวที่เดินผ่านประตูนี้ไปน่ะค่ะ มาจากทางที่คุณมาพอดี คุณก็น่าจะเห็นไม่ใช่หรือคะ"


           "ขออภัยด้วยค่ะ ตัวฉันมิได้สังเกตเลย อาจจะเพราะรีบเลยไม่ได้มองสิ่งรอบข้างมากที่ควร"


           ก็ไม่น่าแปลกสำหรับเมื่ออยู่ในที่ที่ชวนให้รู้สึกกดันเช่นนี้ แต่เจ้าหญิงแห่งจันทราก็คิดว่า แมวสีขาวตัวนั้น แม้จะไม่สนใจเพียงไร แต่แค่มองเพียงหางตา ก็รู้สึกราวกับต้องมนตร์เสน่ห์ที่ทำให้มิอาจละสายตาไปได้แล้ว


           "..."


           "เจ้าหญิงแห่งจันทราคะ..เป็นอะไรหรือคะ ?"


           "ค..ค่ะ ม..ไม่มีอะไรค่ะ" จันทราพูดกลบเกลื่อน
           นางลุกขึ้นยท่นพร้อมช่วยดึงสุริยันขึ้นด้วย "พวกเรามาช่วยกันออกตามหาคนอื่น ๆ จะดีหรือไม่คะ"


           "ตัวฉันเองก็คิดเช่นนั้นค่ะ ไปกันสองคนดีกว่าไปคนเดียวสินะคะ"
           "และอีกประการ.." สุริยันกุมมือ และหน้าแดงอย่างเขินอาย "..ตัวฉันกลัวความมืดน่ะค่ะ"


           "..ฉันเองก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นเดียวกับคุณค่ะ.." จันทราพยายามข่มความกลัวมาตลอด แต่ตอนนี้เมื่อมาเจอคนตัวเป็น ๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจได้มากพอควร


           ทั้งสองตัดสินใจไปตามเส้นทางที่จันทราคิดว่าแมวเดินนำไป ซึ่งทางนั้นก็เป็นทางที่สุริยันยังไม่ได้เดินไปสำรวจ เจ้าหญิงทั้งสองเดินผ่านห้องที่มีหน้าตาเหมือนกันไปกว่าสิบห้อง แต่ก็ยังไม่ถึงสุดปลายทางเสียที


           "ปราสาทแห่ง
      ธริษตรีใหญ่จังเลยนะคะ"


           "นั่นสิคะ เดินไปเท่าไรก็รู้สึกราวกับว่าเดินวนอยู่ที่เดิมมาตลอดเลยค่ะ"


           นั่นคงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงต้องมีเมดหรือพ่อบ้านคอยช่วยนำทางให้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงถึงความสามารถ และการอบรมที่เคร่งครัดอย่างมากของพวกเขา/เธอ


           (..กลิ่น ?)


           จันทราหยุดเดินอย่างกระทันหัน ทำให้สุริยันแทบหยุดไม่ทัน


           "จ..เจ้าหญิงแห่งจันทรา เกิดอะไรขึ้นหรือคะ ?"


           "เจ้าหญิงแห่งสุริยันคะ ได้กลิ่นนี้หรือไม่คะ ?"


           "กลิ่น ?"


           สุริยันลองพยายามดมกลิ่นที่อยู่ในอากาศ แต่นางก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอย่างที่จันทราว่า
           "ไม่มีกลิ่นใดนี่คะ"


           "ทว่ากลิ่นแรงมากเลยนะคะ.." จันทรายังคงยืนยันว่าตัวเองได้กลิ่นบางอย่างจริง ๆ เมื่อพวกนางเดินตรงไปทางหน้ามากขึ้นเท่าไร นางก็ยิ่งได้กลิ่นนั้นแรงขึ้นเท่านั้น กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่เหมือนจะรู้สึกคุ้นเคย ขณะเดียวกันก็จำไม่ได้ว่าเคยได้กลิ่นนี้ที่ไหนมาก่อน



           เพราะสิ่งที่จันทรากล่าวจึงทำให้สุริยันรู้สึกกลัวขึ้นมา จึงเดินอย่างระมัดระวังแม้ว่าจะไม่ได้ใดกลิ่นแบบนาง


           "!?"


           เมื่อยิ่งเดินเข้าไปในความมืด นอกจากจะได้กลิ่นที่รุนแรงขึ้น ยังเริ่มได้ยินเสียง


           เสียงขยับดังถี่ ๆ


           เสียงคล้าย ๆ บางอย่างกำลังเจาะกะเทาะ


           เสียงกรุบ ๆ อย่างกับเสียงเคี้ยว


           จันทราและสุริยันเดินมาเป็นทางตรงมาตลอดทาง จนกระทั่งเมื่อพวกนางมองเห็นบางสิ่ง พวกนางก็เริ่มเดินช้าลง กลิ่นที่สุริยันไม่รับรู้ บัดนี้นางสามารถรู้สึกถึงกลิ่นนั้นได้ชัดเจน 


           เมื่อมองเห็นเงาตะคุ่มที่อยู่เบื้องหน้า พวกนางจึงเดินหลบไปทางเสาด้านข้าง แล้วชะโงกศีรษะออกมาดูสิ่งนั้นให้ชัดเจน


           ดวงตาที่ปรับเข้ากับความมืดได้แล้ว ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น


           แต่ก็จะยังมองไม่เห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน


           ถึงเช่นนั้นการที่มองเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ นี้ ก็อาจจะดีกว่าแล้วก็เป็นได้..


           "!?" จันทรายกมือขึ้นป้องปากอุดเสียงที่กำลังจะเผลอร้องออกมาได้ทัน เหงื่อไหลรินทั้งที่อาการหนาวเย็น ดวงตาและร่างกายสั่นระริก


           "..เจ้าหญิงแห่งจันทรา..เกิดอะไรขึ้นหรือคะ..?" สุริยันพยายามชะโงกศีรษะออกมาด้วย ตอนนั้นเธอคงคิดว่าการไม่สงสัยในเรื่องนี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า แต่ก็สายไปเสียแล้ว


           ของเหลวท่วมไปทั้งพื้นปราสาท


           เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ


           ร่างที่แน่นิ่งไร้ชีวิต..ไร้วิญญาณ


           ดวงตาข้างหนึ่งยังนิ่งค้างไม่ไหวติง..ขณะที่อีกหนึ่งหายไป เผยเป็นรูโหว่


           เจ้าสิ่งนั้นกำลังกระชวกเนื้อส่วนท้องออกมาใส่ปากของมัน


           มันขบเคี้ยวอย่างไม่สนใจใคร มูมมามและตะกละ


           ขนสีดำที่เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวจากสิ่งที่กำลังกัดกิน


           ถ้าเปรียบกับสิ่งมีชีวิต มันเป็นสัตว์พันธุ์เดียวกับที่จันทราพบเมื่อครั้งตื่น แต่ทุกอย่างของมันกับสัตว์ตนนั้น ล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


           เจ้าแห่งสุริยันไม่อาจมองภาพไม่พึงประสงค์นี้ได้อีกต่อไป ทำให้นางรีบหลบเข้ามุมเสาและข่มตาอย่างถึงที่สุด หวังจะให้ภาพติดตานั้นหายไป


           "..." เจ้าหญิงแห่งจันทราหายใจไม่เป็นจังหวะ แต่ยังพยายามคุมความแตกตื่นไว้ได้ ก่อนจะหลบเข้าไปมุมเสาเช่นเดียวกับสุริยัน


           "จ..จะทำอย่างไรดีล่ะคะ" สุริยันเอ่ยปากถามก่อน นางคิดอะไรต่อไม่ออกแล้ว


           "ป..ไปทางอื่นกันเถอะค่ะ.." จันทรากล่าว


           ทั้งสองตกลงและพยายามก้าวเท้าออกไปช้า ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงไปเรียกความสนใจของ 'แมว' ตนนั้น


           ระหว่างที่พยายามย่องไปเงียบ ๆ ก็ชำเลืองกลับไปมองดูท่าทีเป็นระยะ ๆ


           สุริยันที่เห็นจันทราหันไปกลับมาอยู่บ่อยครั้ง รู้สึกกดดันจึงลองหันกลับไปมองบ้าง


           และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาด..และเป็นจุดจบ..


           เพล้ง!


           เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นกระทันหัน เศษแก้วแตกกระจายในพริบตา พื้นเกิดรอยเปียกพร้อมกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย เจ้าหญิงสุริยันที่ไม่ได้มองทางข้างหน้าเพียงเพราะหันกลับไปมองเพียงชั่วครู่เดียว ได้ทำสิ่งที่จะย้อนผลนั้นกลับมาที่พวกนาง


           "แม้ว!!"


           เสียงคำรามจากความมืดมิด ดวงตาที่ส่องแสงอยู่ในความมืด มันกำลังจ้องมาทางนี้


           ไม่กี่อึดใจ มันก็ออกวิ่งด้วยขาหน้าพร้อมข้างหลังของมันมาทางนี้อย่างรวดเร็ว


           "!?" สัญชาตญาณอันตรายทั้งสองทำงาน พวกนางออกวิ่งไปในทันที


           แม้จะวิ่งสุดชีวิต อะดรีนาลีนสูบฉีดไม่หยุด ด้วยร่างกายและเครื่องแต่งกายที่พวกนางสวมใส่ ต่างเป็นตัวขัดขวางความเร็ว รวมถึงรองเท้าที่พวกนางสวมอยู่..


           เสียง 'ปรัก' ดังขึ้นเบา ๆ ตามด้วยเสียงล้มกระแทก


           เจ้าหญิงแห่งสุริยันโชคร้าย ส้นของรองเท้านางหักอย่างกระทันหัน ข้อเท้าของนางเคล็ดและยังกระแทกกับพื้นอย่างแรง


           "..ช..ช่วยด้วย.."


           แมว กระโดดชิ่งกำแพงไปมา ก่อนจะลงมาที่กลางหลังของนาง
           น้ำหนักของมันทำให้กระดูกสันหลังของนางเกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ ๆ ไม่หยุด


           เล็บ เจาะเข้าไปในบริเวณเอว แล้วหยิบชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์ออกมาลิ้มลองเป็นคำแรก


           รสชาติของนางดูท่าจะถูกปากมัน ด้วยรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่โชกไปด้วยโลหิต


           เจ้าหญิงแห่งจันทราหยุดชะงักและหันกลับมา นางมองเห็นมือที่ยื่นอย่างสุดชีวิตออกมาของเจ้าหญิงแห่งสุริยัน ใบหน้าที่นิ่งสงบของนาง บัดนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความทรมาณ นางพยายามขยับปากพูดว่า '..ช่วย..ด้วย..' แต่ไม่อาจส่งเสียงได้อีกต่อไป


           แมวสีดำล้วงเข้าไปในเนื้อในของสุริยันอีกครั้ง..


           นางไม่อาจทนความเจ็บปวดได้อีกต่อไป..


           มือที่พยายามยื่นขอความช่วยเหลืออย่างที่สุด..


           หมดแรงและร่วงลงไป..


           สีหน้ายังคงไปด้วยความกลัวและความเจ็บปวด..




           จันทราถูกความกลัวควบคุม
           ขาที่จะก้าวต่อไปกลับก้าวไม่ออก พยายามละสายตาแต่ไม่อาจทำได้ ร่างกายไม่เป็นไปตามที่พยายามสั่ง ได้เพียงแต่ยืนมองความตายของเจ้าหญิงตรงหน้า


           ลูกตายังพอที่จะขยับเหลือบมามองด้านข้าง มันเป็นประตูที่มีชื่อติดไว้ด้านบนว่า 'ความสิ้นสุด'


           เจ้าหญิงพยายามรวบรวมพลังกายที่พอเหลืออยู่ทั้งหมด ดึงการควบคุมร่างกายที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งกลับมาแล้วถลาเข้าประตูดังกล่าวไป
           แล้วรีบทำการปิดประตูในทันที


           ในห้องที่ดูคล้ายกับห้องพักของเจ้าหญิงแห่งจันทราเอง แต่มีการประดับประดาและรายละเอียดบางส่วนที่แตกต่างกันไป
           ห้องของจันทราจะเป็นห้องที่ดูเป็นห้องของเจ้าหญิงแท้ ๆ แต่ห้องนี้คล้ายคลึงกับห้องที่กำลังจัดเป็นงานเทศกาลของโลกเก่าที่เรียกว่า ฮัลโลวีน


           แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะมาชื่นชมผลงานการจัดของปราสาท


           เจ้าหญิงแห่งจันทราเห็นกลุ่มเสื้อผ้าที่ถูกจัดเตรียมไว้มากมาย นางจึงเลือกที่จะไปหลบซ่อนอยู่ในนั้น


           ทันทีที่หาที่ซ่อนได้ก็ประจวบเหมาะกับเวลาที่แมวสีดำนั่น ลิ้มลองรสชาติของเจ้าหญิงสุริยันเรียบร้อย แล้วพังประตูเข้ามาในห้อง


           เพราะบรรยากาศที่เงียบสนิท จึงได้ยินเสียงหายใจของมันอย่างชัดเจน มันกระโดดขึ้นกำแพง แล้วก็กระโดดไปอีกฝั่งหนึ่ง ตามด้วยอีกฝั่งหนึ่งสลับไปสลับมา เพราะมันกำลังตามหาตัวนางอยู่


           เจ้าหญิงแห่งจันทรามองความเร็วของมันไม่ทัน และนางก็ไม่อยากเห็นอีกต่อไปแล้ว นางข่มตาหลับ ปิดปาก งอตัวให้เล็กที่สุด พร้อมภาวนา


           สัมผัสเสียงบอกให้ได้ยินว่ามีบางอย่างลงมาที่พื้นใกล้ ๆ นี้


           เสียงฝีเท้าที่เบาจนเกือบเงียบ แต่ร่างกายที่สัมผัสถึงความรู้สึกของอากาศได้ ก็บอกเช่นนั้น


           กลิ่นเลือดที่ติดอยู่บนเส้นขนทำให้รู้ได้ว่ามันกำลังเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ


           รู้สึกเหมือนเสื้อผ้ากำลังขยับ ห่างอีกไม่เท่าไร


           มันกำลังใกล้เข้ามา..ใกล้เข้ามา..


           เริ่มได้ยินเสียงหายใจที่ชัดเจนขึ้น


           บทสวดต่อสรวงสวรรค์เริ่มดังขึ้นในใจ


           หากความเชื่อที่ว่าเมื่อเราอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงขึ้นมา



           ยังไม่อยากตาย..ยังไม่อยากตาย


           เสียงดังก้องภายในหัวซ้ำ ๆ


           ขณะที่รู้สึกเหมือนมันเข้ามาใกล้จนเรียกได้ว่า กั้นไว้เพียงผ้าไม่กี่พื้นเท่านั้น


           ร้อน..


           ...


           ..


           .


           ?







           จู่ ๆ เสียงก็เงียบไป


           ไม่สิ..เหมือนจะได้ยินเสีงของฝีเท้าที่กระทบกับพื้น พร้อมกับเสียงที่ห่างไกลไปเรื่อย


           ไม่รู้สึกถึงความกดดัน หรือตัวตนอื่นภายในห้องอีกแล้ว


           นอกจากเสียงหายใจ และเสียงของหัวใจที่เต้นแรง ที่ขณะนี้เริ่มเบาลงอย่างช้า ๆ


           ทุกอย่างช่างเงียบเสียจนนึกถึงเมื่อตอนที่ตื่นขึ้นมาคนเดียวภายในห้องของตัวเอง


           แมวตนนั้น..ไปแล้ว ?


           เจ้าหญิงแห่งจันทราลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ นางยังกลัวที่จะพบความจริงที่ลวงหลอก แต่เมื่อลืมตาตื่นอย่างเต็มที่ มุดออกมาจากกลุ่มเสื้อผ้า มองสำรวจไปทั่วห้อง ก็ไม่มีวี่แวว 'มัน' แล้ว


           ประตูห้องเปิดทิ้งเอาไว้ เป็นอีกหนึ่งหลักฐานของการจากไปของมัน


           ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่นางและมันอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เมตร แต่ทำไมมันถึงไม่จู่โจมนางเหมือนอย่างที่ทำกับ..


           "..."


           "..ร้อนจังเลย.."


           เหงื่อของเจ้าหญิงแห่งจันทราหยดไหลมาตามหน้าผากลงมาที่แก้ม


           จู่ ๆ อุณหภูมิของอากาศก็สูงขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้หนาวเย็นเสียจนยะเยือก


           นางใช้ถุงมือปาดเหงื่ออก แล้วออกมาจากห้องพัก


           เพียงแค่ก้าวออกมาเพียงก้าวเดียว ก็ต้องพบกับภาพที่ไม่น่าดูชมจนต้องละสายตา


           แม้จะคงสภาพที่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร แต่นอกนั้นต่างกระจัดกระจายไม่มีชิ้นดี พื้นถูกชะโลมไปด้วยสีแดงเหมือนผลงานศิลปะนามธรรม 
           และดวงตาคู่นั้นราวกับจ้องมาที่นางด้วยความขุ่นเคืองและคับแค้นใจ


           อาการปวดหัว และอาการวิงเวียนศีรษะกลับมาย้อนทำร้ายอีกครั้ง


           ภาพที่มองเห็นมัวหมองและสับสน ราวกับพื้นปราสาทขยับยกขึ้น-ยกลงได้ตามใจ


           นี่อาจจะเป็นคำสาปก่อนสิ้นใจของดวงตะวัน


           จันทราก้าวเดินต่อไปตามทางที่ย้อนกลับมาเมื่อสักครู่ แม้ว่าจะรู้สึกไม่วางใจในเส้นทาง เพราะเหตุการณ์ที่ประสบพบมา


           ต้องเดินต่อไป พร้อมสู้กับอาการปวดหัวที่รุนแรงขึ้นไปในแต่ก้าวที่ก้าวไป


           ทัศนวิสัยที่แย่ลงทำให้มองเห็นภาพทางข้างหน้าได้ไม่ชัดเจนเรื่อย ๆ


           แต่เมื่อมาได้ระยะหนึ่ง ก็กลับมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ชัดเจนเสียจนไม่อยากที่จะมอง


           ภาพของอวัยวะที่เกลื่อนกลานเต็มพื้น เศษชิ้นส่วนร่างกายที่ไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน กับภาพที่ราวกับเป็นภาพเล่นซ้ำของเจ้าหญิงแห่งสุริยัน


           ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเจ้าแมวตนนั้น จะไม่ทำให้สภาพที่เป็นจุดเด่นของต่คนหายไป


           สิ่งที่เห็นอยู่นี้..คือเจ้าหญิงแห่งความสิ้นสุด..


           จันทราที่รอดมาได้เพราะซ่อนอยู่ในห้องของคนที่ตาย และคนที่ตายก็ตายด้วยฝีมือของสิ่งที่คิดจะฆ่าพวกนาง


            เจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไร..อย่างน้อยในดินแดนแห่งนี้ก็ไม่เคยมีการกล่าวถึงสิ่งนั้นมาก่อน


           ร้อน..


           ความร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับความหนักอึ้งในการก้าวขาแต่ละก้าว


           ความร้อนที่แผ่ซ่านจากข้างในประตูที่แง้มเปิดไว้เล็กน้อย


           ความร้อนที่เหมือนกำลังมีใครจุดเพลิงเพื่อเผาปราสาท


           มองเห็นไอลาง ๆ ลอยออกมา


           จันทราเงื้อมเปิดประตูอย่างช้า ๆ และสอดส่องเข้าไปข้างใน


           ข้างในนั้นมีเปลวไฟอยู่จริง หากแต่ไม่ใช่เปลวไฟที่เคยเห็นทั่วไป


           เพลิงที่แดงชาดลุกโชนอยู่กลางห้องที่ใหญ่กว่าห้องพักของเหล่าเจ้าหญิง


           สภาพของสิ่งที่กำลังมอดไหม้ เกรียมและสลายไปรวดเร็วเสียจนระบุตัวตนไม่ได้


           แต่สภาพร่างกายแบบนั้นราวกับ..เป็นร่างมนุษย์


           และสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากองเพลิงสีแดงนั้น ก็เป็นหญิงสาวที่มีชื่อของอาณาจักรแบบเดียวกันพอดี


           เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีแดงชาด


           นางยังคงอยู่ในชุดราชวงค์สีแดงเข้มอย่างตอนที่ขึ้นเวที แต่สิ่งที่ทำให้นางดูผิดปกติไปคือ ผมยาวสลวยที่ร่ายรำอย่างพริ้วไหวอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาสีแดงที่ชวนให้รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังสิงนาง และดาบเรเปียร์รูปร่างประหลาดในมือ


           อีกทั้งยังอีออร่าสีแดงส่องแสงเนือง ๆ อยู่รอบกายนาง ผิดกับความเป็นมนุษย์ปกติ


           เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรทั้งยี่สิบหกอาจจะมีรูปแบบเฉพาะตัวต่างกันไป แต่ไม่มีใครที่จะมีพลังที่แปลกประหลาดไว้ครอบครองได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหญิงเพลิงสีแดงชาดตอนนี้


           แล้วอาจจะรวมถึงเจ้าหญิงแห่งมรกตด้วย..


           คงเพราะเจ้าหญิงแห่งจันทราเกร็งมากเกินไป จึงเผลอขยับประตูโดยไม่ได้ตั้งใจแบบกระทันหัน จึงส่งผลให้เกิดเสียงขึ้นมาแบบฉับพลัน แต่พอจะเรียกความสนใจคนข้างในห้องได้


           ดวงเนตรสีแดงหันควับมาในทันที เพียงแค่สบตาก็รู้สึกถึงความอันตราย
           สัญชาตญาณเอาชีวิตรอดทำงาน เจ้าหญิงแห่งจันทราวิ่งย้อนกลับไปตามเส้นทางเก่าอีกครั้ง


           นางวิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตา



           อากาศปวดหัวยังคงทำร้ายนาง แต่นางไม่ได้สนใจ


           ความกลัว ปิดกั้นทุกความรู้สึกอื่นไปจนหมด


           อาจจะเผลอเหยียบส่วนหนึ่งของร่างของเจ้าหญิงที่สิ้นไปโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้รองเท้าของนางกลายเป็นสีแดง 


           นางวิ่งมาตามทางที่นางยังไม่เคยมา แต่เป็นทางที่สุริยันบอกว่าตนเดินดูจนทั่วแล้ว


           ไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลแค่ไหน ไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าใด


           ทำได้เพียงวิ่งไปตามทางที่ไม่แน่นอน และไร้จุดหมาย     


           จนกระทั่งไปหยุดเพราะชนกับ..จนล้มลงกองกับพื้น



           "..เจ็บ.."


           เพราะวิ่งมาด้วยความเร็ว เมื่อกระแทกจึงทำให้ส่งผลสะท้อนกลับด้วยแรงที่เท่ากัน แต่เพราะเหมือนมีบางอย่างที่นุ่มนิ่มมารับส่วนของศีรษะเอาไว้จึงทำให้ความแรงของการกระแทกลดทอนออกไปกว่าครึ่ง


           "..นุ่มจังเลย.."


           จันทราส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย เพราะหน้ายังกดอยู่กับอะไรบางอย่าง เลยทำให้ยังมองเห็นภาพได้ไม่ชัด


           หูที่ยังอื้ออยู่เพราะการวิ่ง ค่อย ๆ ดีขึ้น


           จนตอนนั้นถึงได้ยินคำพูดนี้ "โห
      ~นี่หน้าอกของเจ้าหญิงแห่งอิสัตรี มีประโยชน์แบบนี้เองหรือนี่" 


           "น..หน้าอก!?" เจ้าหญิงแห่งจันทราขยับหน้าไปมา คราวนี้นางได้ยินเสียงร้องของหญิงสาวเจ้าของความนุ่มนี้อย่างชัดเจน


           นางจึงรีบผุดศีรษะออกมาในทันที "ข..ข..ข..ขออภัยค่ะ"


           
      หญิงสาวอีกคนย่อตัวมาข้าง ๆ จันทรา "เป็นยังไงบ้าง~หน้าอกของอิสัตรีน่ะ เยี่ยมไปเลยใช่ไหม ?" 


           "ม..ไม่ใด้หมายความถึงเรื่องนั้นค่ะ"


           เจ้าหญิงคนนี้คือเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน นางช่วยพยุงเจ้าหญิงแห่งจันทราขึ้น แล้วค่อยช่วยเจ้าหญิงแห่งอิสัตรีที่ล้มนอนอยู่ขึ้นมาตามลำดับ


           "ขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ที่วิ่งมาโดยไม่ดูตามาตาเรือ" เจ้าหญิงแห่งจันทราก้มหัวขอโทษอย่างสุดใจ


           "ม..ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ทั้งฉันทั้งเธอก็ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน แค่นี้ก็ดีแล้ว" เจ้าหญิงแห่งอิสัตรีกล่าว


           "เอาน่า ๆ เรื่องผ่านไปแล้ว แถมฉันคิดว่านั่นเป็นกำไรเสียอีกนะ ฮ่า ๆ ๆ"
           เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนหัวเราะและพูดต่อว่า "จะว่าไปทำไมเธอถึงรีบวิ่งมาเสียขนาดนั้นล่ะ หนีอะไรมางั้นหรือ ?"


           "ค..คือว่าเรื่องนั้น.." เจ้าหญิงแห่งจันทรารู้สึกเกร็ง พูดไม่ออก นางถอยเท้ากลับมาพยายามไม่ให้เห็นสภาพรองเท้าของนางในเวลานี้


           แต่ก๋็รู้สึกประหม่าขึ้นเมื่อเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน จ้องมาที่หน้าเธออย่างพินิจมอง


           "..ค..คือว่า.." ภาพของเจ้าหญิงทั้งสองยังคงติดตา แม้จะไม่อยากพูดถึง แต่เมื่อถูกกดดันก็คงมีแต่ต้องพูดออกไป..ทว่า..


           "หน้าเธอโทรมไปหมดแล้วนะ เครื่องสำอางเริ่มเละแล้วด้วย มา เดี๋ยวฉันแต่งหน้าให้ใหม่" พูดเสร็จเจ้าหญิงก็หยิบตลับแป้งพร้อมชุดเครื่องสำอางขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง และเริ่มแต่งหน้าให้กับเจ้าหญิงแห่งจันทราที่กำลังยืนงงใหม่


           เวลาผ่านไปเกือบสามนาที


           "เอาล่ะ เท่านี้ก็เรียบร้อย" เจ้าหญิงส่งกระจกจากตลับแป้งให้เจ้าหญิงแห่งจันทราดูตนเอง


           "สุดยอดไปเลยค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทราทึ่งกับตัวเองคนใหม่ ด้วยเครื่องสำอางและความสามารถในการแต่งหน้าของเจ้าหญิงคนนี้ ทำให้นางออกมาดูดีเสียกว่าเมดยอดฝีมือแห่ง
      ธริษตรีเสียอีก


           ..รวมถึงอาการปวดหัวก็ยังหายไปเป็นปลิดทิ้ง


           "หญิงงามเพราะแต่งไงล่ะ การเลือกเครื่องสำอางและเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเอง ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด"
           "แต่นอกจากภาพลักษณ์ที่งดงามแล้ว ก็ต้องมีจิตใจที่ดีงามด้วยนะ"


           "อืม เรื่องนี้ฉันก็เห็นด้วยนะ" เจ้าหญิงแห่งอิสัตรียิ้ม


           ดูเหมือนเพราะหัวเรื่องสนทนาเปลี่ยนไป จึงทำให้ไม่มีใครพูดถึงสาเหตุที่เจ้าหญิงแห่งจันทราวิ่งหนีมาอีก


           "งั้นจันทราจะไปด้วยกันไหม ฉันคิดว่าทุกคนน่าจะอยู่ที่ห้องพิธีนะ ตอนนี้ฉันก็คิดได้แค่นั้นล่ะ" ภาพสะท้อนกล่าว


           "อ..ค่ะ ฉันก็ไม่อยากจะไปคนเดียวเหมือนกัน.."


           "งั้นก็ไปด้วยกันเถอะเนอะ" อิสัตรียิ้มให้ ชวนให้นึกถึงรอยยิ้มที่อ่อนโยนของสุริยัน


           "..ค่ะ"


           ในปราสาทที่เรียกได้ว่าซับซ้อนแห่งกว้างใหญ่แห่งนี้ จนหากไม่มีเมดคอยช่วยดูแลหรือนำทางก็อาจจะหลงลืมห้อง และเส้นทางที่จะไปได้ แต่เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนกลับจดจำเส้นทางและนำทางไปได้อย่างถูกต้อง


           ถึงเจ้าหญิงแห่งจันทราจะจำเส้นทางที่ถูกต้องไม่ได้ แต่เมื่อมาในทางที่เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ทำให้พอจำได้ว่ามาถูกทางแล้ว


           ผ่านประตูอีกหนึ่งบานเข้ามา ในที่สุดก็มาถึงห้องที่เป็นความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะตื่นขึ้นมา


           ห้องพิธีกรรมที่รวมเข้ากับห้องจัดงานเลี้ยงสังสรรค์


           ...


           เงียบกริบ ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ข้าวของเครื่องใช้ อาหาร หรือของประดับประดาต่าง ๆ ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่งหรือหายไป


           สิ่งที่หายไปมีเพียงชีวิต..หลายชีวิตที่ควรอยู่ภายในห้องนี้


           "ไม่อยู่แล้วจริง ๆ ด้วย"


           ถึงจะเบา แต่เจ้าหญิงแห่งจันทราได้ยินเหมือนเจ้าหญิงแห่งกระจกสะท้อนพึมพำ


           แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งมีชีวิตที่ว่าก็ดูเหมือนจะไม่ได้หมายความถึงสิ่งมีชีวิตที่สิ้นชีวาไปแล้ว


           ร่างของเจ้าหญิง
      ธริษตรียังคงห้อยอยู่กลางอากาศบนไม้กางเขนกลับศีรษะลงพื้น ด้วยสภาพที่ซีดเผือก แต่ยังไม่เน่าเปื่อย เหมือนเพิ่งตายมาไม่นาน แต่เลือดกลับแข็งตัวไปนานแล้ว


           "ทำไมถึงต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย.."


           "ใน เขตแห่งพระผู้เป็นเจ้า การกระทำเช่นนี้จะเป็นการท้าทายและดูถูกต่อสรวงสวรรค์" เจ้าหญิงแห่งอิสัตรีทำสีหน้าเศร้าโศกไปพร้อมกับทำความเคารพศพ


           "หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของผู้ขัดต่อพระผู้เป็นเจ้า.."


           ระยะหลังมานี้ได้ยินข่าวลือมาบ่อย ๆ ผู้ที่ขัดต่อพระผู้เป็นเจ้า เริ่มกระจายตัวและกระทำบางสิ่งอยู่อย่างลับ ๆ เหมือนว่าจะเป็นต้นเหตุของเหตุวินาศกรรมในหลาย ๆ ที่ เพื่อต่อต้านเหล่าผู้อาศัยอยู่บนสรวงสวรรค์


           รวมถึงเหตุการณ์ยามที่โลกเก่าล่มสลาย ในวันนั้นเหมือนจะมีการปะทะกันระหว่างตัวแทนแห่งสวรรค์ และพวกเขาอีกด้วย


           "จะเป็นใครก็ไม่รู้ล่ะ" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนกล่าวขึ้น "แต่ว่าคนที่รับเคราะห์ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่
      ธริษตรีนะ"


           ขณะที่นางพูดนางไม่ได้มองมาที่ศพของเจ้าหญิงแห่งธริษตรี แต่กำลังมองไปบนเวทีที่เจ้าหญิงทั้งยี่สิบหกคนเคยขึ้นไป เจ้าหญิงทำสีหน้าปั้นยากแต่ยังคงมองอย่างตั้งใจ


           เจ้าหญิงแห่งอิสัตรีแสดงสีหน้าปั้นยาก ส่วนเจ้าหญิงแห่งจันทราแสดงความตื่นตระหนกออกมาเป็นมากเหมือนทุกครั้ง


           เป็นดั่งกระจกสะท้อน ของหญิงสาว ที่มีแสงจันทร์เป็นฉากหลัง


           เจ้าหญิงอีกหนึ่งคนกำลังถูกห้อยหัวลงมา แบบเดียวกับเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรี


           "..เจ้าหญิงแห่งตรงกันข้าม.."


           ถึงจะดูคล้ายกัน แต่ก็มีหลายอย่างที่ต่างกันไป



           แขนของนางไม่ได้ถูกตรึงไว้กับไม้กางเขน แต่ถูกปล่อยปล่อยลงมาตามแรงโน้มถ่วง
           รอยแผลของธริษตรีเป็นรอยแผลของคมแทงเข้ากลางท้อง แต่ตรงกันข้ามเป็นจากการที่ของแข็งกระแทกทีหัวอย่างแรง จนทะลุถึงสมอง


           ดูเหมือนจะถูกตีไปไม่น้อย เพราะแขนที่ร่วงลงมานั้น ราวกับไม่มีกระดูกเหลืออยู่อีกแล้ว


           เลือดหยดไหลลงพื้นเวทีทีละหยด ๆ 


           มีเจ้าหญิงเสียชีวิตไปแล้วสี่คน..


           "?"


           เพราะการมองเลือดที่หยดลงมา จึงทำให้จันทราสังเกตเห็นบางอย่างบนพื้นเวที


           ถึงจะยังรู้สึกกลัว แต่นางขึ้นไปบนเวทีและสำรวจจุดที่หยดเลือดไหลนอง


           แล้วเมื่อเปิดขึ้นมา มันก็เป็นเส้นทางที่พาลงไปข้างล่างของเวทีหรือแท่นพิธี


           "..." จันทราหันกลับมาหาภาพสะท้อนและอิสัตรี ทั้งสองพยักหน้าร่วมด้วย พวกนางทั้งสามตัดสินใจลงไปข้างล่างด้วยกัน


           ทางลงนี้เป็นเพียงทางลงมืด ๆ ที่ถูกทำออกมาแบบเรียบง่าย มองไม่เห็นจุดหมายเบื้องล่างว่ามีสิ่งใดรออยู่ ได้แต่ก้าวเดินลงไปทีละขั้นอย่างช้า ๆ


           แต่ก็ไม่ได้ลึกมากเท่าไร ไม่นานนักทั้งสามก็ลงมาถึงที่หมาย ซึ่งไม่มีสิ่งใดนอกจากเพียงสิ่งเดียว


           วงกลม..


           วงกลมขนาดใหญ่อยู่ ณ เบื้องหน้า ลักษณะราวกับเป็นประตูที่จะเปิดไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้


           "นี่คือ ?"


           "อาจจะเป็นที่ซ่อนสมบัติแห่ง
      ธริษตรีก็ได้ เคยได้ยินข่าวลือมาบ้างเหมือนกัน" เจ้าหญิงแห่งอิสัตรีเดา


           "เห~สมบัติงั้นหรือ ฟังดูน่าสนใจดีนะ" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนเข้าไปใกล้วงกลมมากที่สุด 


           พวกนางสังเกตเห็นรอบ ๆ วงกลมนั้นจะมีช่องอยู่ แบ่งเป็นสิบแปดช่องวงใน และเก้าช่องวงนอก และในบรรดาช่องเหล่านั้นมีอยู่เจ็ดดวงที่กำลังเรืองแสงซึ่งล้วนแต่เป็นวงใน


           นับรวมช่องทั้งหมดมียี่สิบเจ็ดช่อง..เท่ากับจำนวนเจ้าหญิงที่เข้าร่วมพิธีกรรมในครั้งนี้


           แม้จะเป็นแค่การคาดเดาแต่เจ้าหญิงแห่งจันทราก็คิดไปก่อนแล้ว


           "..หรือว่าการจะเปิดประตูนี้..พวกเราจะต้อง..ตาย.."


           "เจ้าหญิงแห่งจันทรา หมายความว่ายังไงหรือจ๊ะ ?" 


           เจ้าหญิงแห่งจันทราเล่าถึงเจ้าหญิงสองคนที่ถูกฆ่าด้วยฝีมือของแมวดำให้ทั้งสองคนฟัง และบอกความคิดของเธอเกี่ยวกับประตูนี้เมื่อนับจำนวนแสง กับจำนวนของเจ้าหญิงที่เสียไป


           "แต่ถ้าอย่างนั้นอีกสามดวงล่ะ ?"


           "ก็อาจจะมีเจ้าหญิงคนอื่นถูกฆ่าแล้วก็ได้.." เจ้าหญิงแห่งจันทรากล่าว


           "เจ้าหญิงคนอื่นงั้นหรือ.." เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนพึมพำ
           "..ถ้าจะให้เปิดสมบัติที่ต้องแลกด้วยชีวิตแบบนี้ สู้ให้ไม่มีทางได้มา และมีชีวิตอยู่ต่อไปจะดีกว่า"


           นางหันหลังและไม่สนใจในประตูที่คาดว่ามีระบบกลไกอย่างที่จันทราว่า แล้วก็เดินนำขึ้นไปข้างบนก่อน


           เจ้าหญิงแห่งอิสัตรีเดินตามไป ขณะที่จันทรายังชำเลืองมองประตูอย่างหดหู่ก่อนที่จะตามขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย


           ทั้งสามคนกลับขึ้นมาบนบนเวทีและปิดประตูลับกลับไปตามเดิม


           "แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อดีคะ ?" เจ้าหญิงแห่งจันทราเอ่ยถามสองเจ้าหญิง


           "นั่นสินะ ก่อนอื่นฉันว่าพวกเราไปตามหาเจ้าหญิงคนอื่น ๆ กันก่อนเถอะ" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนเสนอ


           "อืม ฉันก็เห็นด้วยนะ อยู่กันเยอะ ๆ น่าจะดีกว่า"


           "ตามหาเจ้าหญิงคนอื่น ๆ หรือคะ.." เจ้าหญิงแห่งจันทราเพิ่งนึกได้ว่าลืมบอกเรื่องสำคัญไปอีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือเรื่องของเจ้าหญิงเพลิงสีแดงชาด รวมถึงร่างของคนที่ถูกเปลวเพลิงสีแดงนั้นแผดเผาด้วย..เป็นไปได้ว่าหนึ่งในดวงแสงเหล่านั้นอาจจะมาจากเธอคนนั้น..


           "เอาล่ะ ไปกันเถอะ" เจ้าหญิงแห่งอิสัตรีเดินนำไปก่อน


           "เฮ้ ช้า ๆ สิ เดี๋ยวก็ไปชนใครอีกหรอก" 


           "ไม่ต้องห่วง ๆ คราวนี้ฉันจ-!?"


           คำพูดขาดหายไป เสียงขาดสะบั้นดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง น้ำโลหิตสาดกระเซ่นยิ่งกว่าน้ำพุ เห็นทั้งใบหน้าและร่างของนางถูกแยกออกเป็นสอง ด้วยคมดาบที่ผ่าร่างเธอได้เป็นสองซีก


           มันอยู่ในชุดเกราะที่ถูกเรียกว่าซามูไรแห่งชาวโลกเก่า
           เงาสีดำภายใต้เกราะนั้น และดวงตาคมกริบสีแดง


           "รีบวิ่งเร็ว!" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนออกตัววิ่ง เจ้าหญิงแห่งจันทรารีบวิ่งตามไปโดยที่ไม่มีเวลาให้ตกใจ


           มัน สะบัดดาบที่เปื้อนเลือดให้กระเซ็นลงบนพื้นเวที แล้วไล่ตามพวกนางทันที


           ทั้งสองวิ่งไปทางประตูบานหนึ่งที่ไม่ใช่ประตูที่เข้ามา ทำให้มาอยู่ในเส้นทางที่ไม่คุ้นตา แต่เนื่องจากไม่มีเวลามากจึงได้แต่วิ่งไปตามทางโดยไม่รู้ทิศทาง


           ภาพสะท้อนผลักประติมากรรมระหว่างทางให้ล้มลงมา หวังจะให้เป็นตัวชะลอความเร็วมัน แล้ววิ่งต่อไป


           "ขวา!" ภาพสะท้อนตะโกน ทั้งสองเลี้ยวไปพร้อมกัน แล้วตรงไปที่ห้องที่อยู่ทางขวา


           เมื่อเข้ามาก็รีบผลักตู้มากั้นประตูเอาไว้ พร้อมกับเฟอร์นิเจอร์อื่นที่พอผลักได้


           "จะทำยังไงดีคะ ?" เจ้าหญิงแห่งจันทราที่ยังตั้งสติไม่ได้ ถามเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนอย่างกระวนกระวาย


           "ใจเย็น ๆ ก่อน ต้องมีทางสิ" นางมองไปรอบ ๆ เพื่อมองหาสิ่งที่พอใช้การได้ แต่ดวงตาไปหยุดทีหัวคิไมราสตาฟที่มุมห้อง


           "หรือว่า.." เหมือนนางจะคิดอะไรได้จึงหยิบ ดินสอเขียนคิ้วขึ้นมา


           "นี่ไม่ใช่เวลาแต่งหน้านะคะ"


           "ไม่ใช่หรอก ดูนี่ก่อนสิ" นางตรงไปที่หัวคิไมราตนนั้นแล้วใช้ดินสอทิ่มลงไปที่ตาซ้าย


           และแล้วประตูลับก็เปิดออก..


           "เร็วเข้า ต้องรีบไปแล้ว"


           "ค..ค่ะ" จันทรารีบวิ่งเข้าประตูลับไป ภาพสะท้อนดึงดินสอออกมาแล้วรีบเข้าไปก่อนประตูจะปิด


           หลังประตูปิดสนิทไปสี่-ห้าวินาที ก็ได้ยินเสียงระเบิดของของแข็งที่น่าจะเป็นพวกเฟอร์นิเจอร์ที่นำไปขวาง และเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นของมัน


           ก่อนที่จะได้ยินอีกทีว่าฝีเท้านั้นกำลังจากออกไป..


           "..เฮ้อ.." เจ้าหญิงทั้งสองถอนหายใจอย่างโล่งอก


           "แหม
      ~เรียกเหงื่อดีจังเลยเนอะ" 


           "คิดว่าจะตายเสียแล้วค่ะ" จันทรากล่าว
           "แต่ว่าทำไมเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนถึงได้รู้ว่ามีห้องลับนี้อยู่รึคะ ?"


           "พอดีก่อนมาก็ศึกษาที่นี่มาบ้างน่ะ แต่ก็จำได้ไม่หมดหรอก อย่างทางลับบนเวทีก็จำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นโคโตฮะคงจำได้หมดล่ะมั้ง"


           "..หรือคะ" ถึงจะไม่รู้ว่าโคโตฮะเป็นใคร แต่ก็คงน่าจะเป็นผู้ติดตามของเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน
           "..อัลกามาร์.."


           "..."


           "เอาน่า~รอดมาได้ก็พอแล้ว..พวกเราต้องรอดในส่วนของนางด้วย" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนกระซิบ


           เจ้าหญิงแห่งจันทราคืนสติกลับมาที่ปัจจุบัน ตอนนี้มีเจ้าหญิงถูกฆ่าต่อหน้าเธอไปแล้วทั้งหมดห้าคน หากรวมอีกสามคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครก็เท่ากับแปด..


           "งั้นก็ออกตามหาเจ้าหญิงคนอื่น ๆ กันต่อเถอะ" ภาพสะท้อนบอกอย่างร่าเริง


           "ค่ะ" จันทราเห็นด้วย "แต่ว่าพวกเราจะออกจากห้องนี่อย่างไรหรือคะ ?"


           "เอ๊ะ!?"


           "..."


           "..."


           "จำไม่ได้หรือคะ ?"


           "เออ..ขอโทษที จำวิธีเข้าได้ แต่วิธีออกนี่เหมือนจะถูกฝังลึกอยู่ในหัวน่ะ" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนหัวเราะกลบเกลื่อน


           "อย่างไรก็ตาม ลองดูกลไกของที่นี่กันก่อนเถอะค่ะ"


           ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาด 4x4 ไม่มีสิ่งของเครื่องใช้อื่นใดนอกจากหลอดไฟข้างบน แต่ผนังของห้อง ทั้งบนล่าง ซ้าย ขวา หน้า หลัง จะมีลายสลักอยู่เต็มไปหมด


           และเบื้องหน้าสุดก็มีปุ่มสิบสองปุ่ม ที่มีรูปดาวสลักไว้ เป็นหนึ่งดาว สองดาว สามดาว ไปเรื่อย ๆ จนถึงเก้า พร้อมกับช่องว่าง, วงกลม และรูปสี่เหลี่ยม


            "จะต้องกดรหัสเพื่อออกไปหรือคะ ?"


            "ก็ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนย่อตัวลง และครุ่นคิดถึงบางสิ่งพลางมองภาพผนังรอบ ๆ ไปด้วย
           "เดี๋ยวฉันจะลองทำดูนะ จันทราพักไปก่อนได้เลย"


           "..ค่ะ"


           จันทราทำตามที่บอกแล้วนั่งลงข้าง ๆ ในขณะที่ให้ภาพสะท้อนแก้กลไกด้วยตัวคนเดียว


           ...


           ..


           .


           "นี่จันทรา"


           "คะ ?"


           "เธอเคยคิดถึง 'ชื่อ' ของตัวเองจริง ๆ บ้างไหม ?"


           " 'ชื่อ' งั้นหรือคะ.."


           สำหรับเหล่าเจ้าหญิงไม่ว่าจากอาณาจักรใด ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นในตอนแรกนั้น จะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามหลังจากที่ครองตำแหน่งเจ้าหญิงแล้ว หลังจากกลายเป็นเจ้าหญิงก็จะไม่มีใครมีสิทธิ์เรียกชื่อของนางอีก แม้แต่ตัวเองก็ตาม


           หลังจากนั้นจึงมีแต่คนเรียกเจ้าหญิงด้วยชื่ออาณาจักรเช่น 'เจ้าหญิงแห่งจันทรา' เท่านั้น


           โทษสำหรับเจ้าหญิงที่ถูกรู้ชื่อหรือบอกชื่อตน และผู้ที่กล่าวชื่อของเจ้าหญิงนั้น ไม่มีใครกล้าลิ้มลองมาก่อน แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครที่คิดจะฝ่าฝืนมาโดยตลอด


           จนมาถึงตอนนี้ "..ให้ฉันบอกชื่อจริงของฉันให้ไหม"


           "เอ๋ ?"


           คำกล่าวของเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะตั้งสติได้


           "อะไรกันคะ จู่ ๆ ก็.."


           "นั่นสินะ คงประมาณว่า 'ถ้าไม่ได้มาสัมผัสเองก็ไม่มีทางรู้' ฉันรู้สึกว่าการที่ชื่อถูกกลายเป็นสิ่งต้องห้าม และต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วย ฐานะ ของตนเองน่ะ ไม่ค่อยจะดีเท่าไรเลยน่ะสิ.."


           "แต่ว่าเรื่องนั้น.."


           เจ้าหญิงแห่งภาพท้อนกดปุ่ม ที่น่าจะเป็นปุ่มสุดท้าย เพราะทันใดนั้นช่องประตูทางขวาก็เปิดออก


           "เอาล่ะ เปิดได้แล้ว"


           "จริงด้วย.." เจ้าหญิงแห่งจันทราลุกขึ้นและเดินไปที่ริมทางออก แล้วสำรวจซ้ายสำรวจขวาเพื่อความปลอดภัย


           "ไม่มีใคร..ปลอดภัยค่ะ" นางเดินนำออกไปก่อน
           "เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนมาเร็วเข้าค่ะ"


           "..นั่นสินะ" ภาพสะท้อนกำลังจะตามไป


           แต่ทันใดนั้นผนังก็ปิดลงอย่างกระทันหัน ทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทราถึงกับตั้งตัวไม่ทัน


           "เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนคะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ!?"


           "ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง" นางตอบกลับมาผ่านผนัง แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงมาจากอีกฟาก มันเป็นเสียงเหมือนมีของแข็งบางอย่างกำลังเคลื่อนไปตามของแข็งอีกที


           "ก..เกิดอะไรขึ้น ?" จันทราแม้จะอยู่ข้างนอก แต่เมื่อสัมผัสจากแรงสั่นสะเทือนที่รู้สึกได้ก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น


           "กดรหัสแล้วหนีออกมาเร็วเข้าสิคะ!"


           "ไม่ไหว เหมือนรหัสพวกนี้จะใช้ได้ครั้งเดียว"


           "อะไรกัน.."


           เสียงและแรงสั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ


           "ฉันดีใจที่ได้เจอกับเธอนะจันทรา ถ้าเป็นไปได้หากไม่ได้อยู่ในสภาพนี้ก็อยากจะขอวันเกิด และขอเป็นเพื่อนอยู่หรอก"


           "พูดอะไรน่ะคะ..?"


           "อย่าตายล่ะ ฉันเองก็จะไม่ตายเด็ดขาด แล้วเราค่อยพบกันอีก"


           "เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนคะ รีบ ๆ ออกมาสิคะ" จันทราทุบกำแพงซ้ำไปซ้ำมา จนมือของนางเริ่มมีเลือดออก


           "ฉันจะบอกชื่อจริงของฉันให้เธอรู้นะ"


           "ชื่อของฉันคือ เ-!"


           ตึง!!


           เสียงจากผนังอีกฟากขัดขวางเสียงสุดท้ายของนาง และแล้วทุกอย่างก็เงียบลงในที่สุด..


           ขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะยืนต่อ..


           รู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัว..


           อาการปวดหัวกลับคืนมาอีกครั้ง..


           รุนแรงกว่าไหน ๆ ทรมาณยิ่งกว่าครั้งใด..


           ทัศนวิสัยที่มองเห็นเริ่มแคบลง..


           ราวกับความมืดกำลังจะเข้าปกคลุมโลก..


           และแล้วทุกอย่างก็จมอยู่ในความมืดมิด..

      .
      .
      .
      .
      .


           "..ปัญญา พวกเราหนีพ้นรึยังคะ ?" 


           "ฉันก็ไม่รู้ ตอนนี้ได้แต่วิ่งไปเรื่อย ๆ"


           เจ้าหญิงแห่งปัญญาจับมือเจ้าหญิงแห่งดวงดารา วิ่งอยู่ภายในปราสาทแห่งธริษตรี เพื่อหนีจากการไล่ล่าของสิ่งที่อยู่ข้างหลัง


           "..ปัญญา ฉันกลัวค่ะ กลัวมาก ๆ ด้วย.."


           "ฉันเองก็กลัวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกเราต้องรอดไปด้วยกันให้ได้นะ ดวงดารา" เจ้าหญิงแห่งปัญญาส่งสายตาที่เปี่ยมไปกด้วยความเชื่อมั่นแก่ดวงดารา


           "..อืม ถ้าปัญญาบอกแบบนั้น" เจ้าหญิงผมสีเงินพยักหน้า


           ทันใดนั้นเอง ด้วยการเผลอเพียงพริบตาเดียว ขาของเจ้าหญิงแห่งปัญญาที่ไม่ได้ระวัง ก็ไปเหยียบกับบางสิ่งทำให้เธอหยุดกระทันหันแล้วถูกดุงล้มลง ขณะที่เจ้าหญิงแห่งดาราถูกแรงส่งไปข้างหน้า


           "..ปัญญา.." เมื่อดวงดาราหันกลับมา เห็นสภาพของความรอบรู้ที่โดนสิ่งนั้นเข้าไปก็หยุดความหวาดผวาไว้ไม่อยู่


           เลือดของเจ้าหญิงไหลนอง ปากล็อกตะครุบขาของนางเข้าเต็ม ๆ และไม่สามารถดึงให้ออกได้


           "รีบหนีไป ดวงดารา รีบหนีไป!"


           "แต่ว่า..ปัญญา"


           "รีบหนีไป ขอร้องล่ะ..เธอจะต้องรอดไปให้ได้นะ.." คำอ้อนวอนของเจ้าหญิงแห่งปัญญา ทำให้เจ้าหญิงแห่งดวงดาราไม่กล้าปฏิเสธและฝืนใจวิ่งหนีไป


           "..."


           เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นตามหลังมาอย่างช้า ๆ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามันมาอยู่ข้างหลังแล้ว


           เจ้าหญิงแห่งปัญญาหันกลับไปสบหน้าของมันเป็นครั้งสุดท้าย..ผู้ชายร่างสูงใหญ่กว่าสองเมตรอยู่ตรงนั้น และเมื่อนางมองเห้นใบหน้าของมัน..


           "เจ้าช่างน่าขยะแขยงเสียจริง.."


           ตามด้วยเสียงของบางอย่างที่ทะลักออกมา ฝ่าเท้าของมันเหยียบเข้าไปกลางหน้าท้องทะลุไปจนสุด ลมหายใจของเจ้าหญิงก็หมดลงไปอีกหนึ่งคน


           เมื่อแน่ใจว่าแน่นิ่งไปแล้ว มันก็ยกร่างของนางขึ้นโดยไม่สนใจขาที่ติดอยู่กับกับดักปาก แล้วพาเดินย้อนหายไปในความมืด



           เจ้าหญิงแห่งวิ่งมาไกลพอสมควรแล้วมาหลบพักเหนื่อยที่ห้องห้องหนึ่ง


           นางหายใจหอบเพราะความเหนื่อย พร้อมทั้งน้ำตาที่หลั่งรินมาอย่างไม่มีสิ้นสุด


           "..ปัญญา.." ยังคงรู้สึกผิดที่ทิ้งนางมา ยังคงรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจทำให้ความรู้สึกของนางเปล่าประโยชน์ได้


           จะต้องรอด..จะต้องผ่านไปให้ได้ คือสิ่งที่สัญญากับนางไว้แล้ว


           กว่าเจ้าหญิงแห่งดวงดาราจะตั้งสติและกลับมาจากโลกส่วนตัวได้ก้กินเวลาไปหลายนาที นางเพิ่งรู้ว่าตนเองมาอยู่ในห้องชำระบาปของปราสาท


           เมื่อมองไปที่ไม้กางเขนที่เลียนแบบมาจากดินแดนแห่งพระผู้เป็นเจ้า ก็ทำให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ของเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรี 


           "..เหล่าผู้สถิตบนสรวงสวรรค์ เหตุใดพวกท่านถึงมองไม่เห็นภาพของโศกนาฏกรรมนี้ หากพวกท่านเห๋็น เหตุใดถึงไม่ลงมาช่วยพวกเรา หรือว่านี่เป็นการชดใช้ในสิ่งที่พวกเราทำผิดเช่นนั้นหรือ..?"


           เจ้าหญิงแห่งดวงดาราเริ่มอ้อนวอนต่อไม้กางเขนเบื้องหน้า


           "..ผู้สถิตบนสรวงสวรรค์ไม่เคยละทิ้งผู้ใด" เสียงของหญิงสาวหนึ่งคนดังขึ้น
           นางปรากฏตัวออกมาจากเงาของเสาด้านข้าง ในชุดที่ลอกเลียนแบบมาจากเหล่าผู้สถิตบนสรวงสวรรค์


           "เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล..?"


           "เหล่าลูกแกะที่หลงทางเอ๋ย โลกที่ผิดเพี้ยนนี้เอ๋ย นี่ไม่ใช่ประสงค์ของสวรรค์หากแต่มาจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น" เจ้าหญิงก้าวออกมาเริ่มร่ายรำภายใต้ความมืด "พวกเราจักต้องผ่านพ้นไป มิเช่นนั้นอาณาจักรแห่งนี้เข้าสู่หนทางและความเสื่อมสลาย สหายที่รักเอ๋ย พวกเราเป็นความหวังขออาณาประเทศ ฉะนั้นจะมาสิ้นความหวังอยู่ ณ ที่นี้ไม่ได้"


           "..แต่ว่าจะทำอย่างไรล่ะ ?"


           "แสงมรกตส่องสว่าง เพลิงชำระลุกโชติช่วง ดับมืดเมื่อเสียงแห่งนิทราเริ่มบรรเลง" เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลม้วนตัวอย่างพริ้วไหว ไปที่ด้านข้างไม้กางเขน


           เบื้องหลังนั้นมีเธอที่กำลังนอนสลบไม่ได้สติอยู่


           "..เจ้าหญิงแห่งมรกต(?) !?"

           .
           .
           .
           .




           ..มองเห็นภาพของเหล่าหมู่ดาว นั่นคือหมู่ดาวแคสสิโอเปีย หนึ่งในแปดสิบแปดหมู่ดาว ที่หนึ่งในเทพธิดาแห่งสรวงสวรรค์ได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นดาวพิทักษ์คุ้มครองเหล่าชีวิตบนโลก


            ..ถึงแม้ว่าภาพนั้นจะเป็นเพียงแค่ภาพวาด แต่ความหวังที่จะให้คำกล่าวนั้นเป้นจริงก็ดังก้องอยู่ในจิตใจ


            "..นี่เรา.." เจ้าหญิงลืมตาตื่นขึ้น นางพบว่าตนเองไม่ได้นอนอยู่ที่ริมผนังตามสิ่งสุดท้ายที่จำความได้ แต่ตอนนี้นางมาอยู่ในห้องที่ถูกประดับตกแต่งไปด้วยดวงดาวต่าง ๆ มากมาย


            "ตื่นแล้วหรือคะเจ้าหญิง" เสียงแห่งความโล่งอกที่คุ้นเคยดังมาจากข้าง ๆ เตียง หญิงสาวผมแดงในชุดเมดดีใจที่เจ้าหญิงฟื้นสติ


           "ซากิ..?"


           "ค่ะ มิซึชิมะ ซากิเองค่ะ ขออภัยที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ แล้วปล่อยให้เจ้าหญิงอยู่คนเดียวนะคะ"


           "ที่นี่..?"


           "ที่นี่เป็นห้องพักของเจ้าหญิงแห่งดวงดารา เป็นห้องที่พวกเราใช้พักชั่วคราวค่ะ" ซากิบอก "พสกเราไปเจอท่านนอนสลบอยู่ระหว่างทาง จึงรีบพาตัวมารักษาค่ะ"


           เนื่องจากยังเบลอ ๆ เจ้าหญิงแห่งจันทราเลยยังแสดงอารมณ์อะไรออกมาได้ไม่มากนัก แต่ในที่สุดภาพสุดท้ายของเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนก็ผุดขึ้นมา
           "เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน..แล้วเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนล่ะ!"


           จันทราร้อนรนมาก ถึงกับฉุดกระชากปกเสื้อของเมดสาว


           "หวา เดี๋ยวสิคะเจ้าหญิง ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ"


           "เอ๋ เจ้าหญิงแห่งจันทราตื่นแล้วหรือ ?" เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลังของซากิ และยังมีอีกสองคนอยู่ตรงนั้นด้วย


           "โล่งอกไปที"


           "นั่นคือความรักสินะคะ"


           หญิงสาวสามคน มองจากเสื้อผ้าที่สวมใส่และความคุ้นหน้าคุ้นตาแล้ว จึงสามารถรู้ว่าได้ทันทีว่าพวกนางเป็นใคร


           "ถ้าหิวล่ะก็ มีขนมเยอะแยะเลยนะ ทานเยอะ ๆ จะได้แข็งแรง" เจ้าหญิงแห่งความชั่งใจยกถาดที่มีคุกกีรูปสัตว์นานาชนิดมาให้ที่โต๊ะข้าง ๆ


           "อา..คือว่า ฉันไม่มีอะไรที่มีค่าจะให้..ต..แต่ว่าช่วยรับสิ่งนี้ไว้ด้วยค่ะ" เจ้าหญิงแห่งโชคชะตายื่นใบโคลเวอร์สี่กลีบให้กับมือของจันทรา


           "ฉันมีแค่พลังแห่งความรักที่จะมอบให้เท่านั้นล่ะนะ แต่ว่าความรักน่ะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้วใช่ไหมล่ะ" เจ้าหญิงแห่งความรักกล่าว


           "ข..ขอบคุณค่ะ.." เจ้าหญิงแห่งจันทราพยายามตามน้ำใจอันดีงามของทั้งสามให้ทัน


           "มิตรภาพของเหล่าเจ้าหญิงช่างงดงามจังเลยนะคะ" ซากิว่า


           "ซากิ..แล้วคนอื่นล่ะ ?"


           "ขออภัยด้วยค่ะ นอกจากทั้งสามคนแล้ว ดิฉันก็ตามหาเจ้าหญิงหรือชนชั้นสูงคนอื่น ๆ ไม่พบเลยค่ะ" เมดสาวเล่า


           "..แต่ว่าถ้าซากิยังอยู่ก็หมายความว่าคนอื่น ๆ ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่ภายในปราสาทที่ไหนสักแห่งสินะ"


           "นั่นสินะคะ" ซากิยิ้มให้ แต่ว่าก็เห็นถึงความไม่แน่ใจของเธอเช่นกัน


           "อัลกามาร์.."


           "แต่ว่านะคะเจ้าหญิง เมื่อสักครู่นี้ยามที่ท่านหลับอยู่ ท่านละเมอและแสดงท่าทีที่ตื่นกลัว และยังเมื่อสักครู่นี้ ที่พูดถึงเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนอีก เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือคะ ?"


           "เรื่องนั้น.."


            จันทราเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่นางฟื้นขึ้นมาในห้องของตัวเอง ไปจนถึงตอนที่พบกับเจ้าหญิงคนอื่น ๆ และพวกมันที่ไล่ล่าพวกนางในแต่ละครั้ง และสุดท้ายกับการเสียสละของภาพสะท้อน ก่อนที่เธอจะสลบไปแล้วมาฟื้นที่ห้องแห่งดวงดารานี้


           "..โหดร้าย.." เจ้าหญิงแห่งโชคชะตาส่งเสียงร้องอย่างหวาดหวั่น


           "ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น" เจ้าหญิงแห่งความชั่งใจแสดงความหม่นหมองออกมาทางสีหน้า


           ขณะที่เจ้าหญิงแห่งความรักเหมือนจะฟัง แต่เพราะนางกำลังสนใจอะไรอื่นอย่างอยู่ จึงไม่ได้พูดหรือรู้สึกอะไรกับเรื่องที่จันทราเล่า


           "..." แต่คนที่รู้สึกแน่นอกหนักใจมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นผู้ที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาด้วยตัวเอง แม้แต่ซากิเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันแต่คงเทียบกับนางไม่ได้


           "..ซากิ เธอรู้เรื่องประตูลับใต้แท่นพิธีบนเวทีที่เล่าไปรึเปล่า ?" เจ้าหญิงแห่งจันทราสอบถามข้อมูลจากเมดแห่ง
      ธริษตรีที่น่าจะรู้เรื่องของที่นี่ดีกว่าพวกนาง


           แต่เธอกลับส่ายหน้า "ขออภัยค่ะ เรื่องนี้ดิฉันเองก็เพิ่งทราบเช่นกันค่ะ"


           "..นี่พวกเราจะต้องตายเพื่อเปิดประตูงั้นหรือ.." เจ้าหญิงแห่งความชั่งใจรู้สึกหดหู่ แต่นางก็ยังหยิบคุ้กกี้ที่ให้จันทราไปแล้วมาทานแก้เครียด


           "หรือว่า..จะเป็นเรื่องนั้น.." เจ้าหญิงแห่งโชคชะตาเหมือนรู้อะไรบางอย่างจึงทำให้คนอื่น ๆ หันมาสนใจ


           "เรื่องอะไรหรือคะ เจ้าหญิงแห่งโชคชะตา ?"


           "คือฉันได้ยินมาจากคนรับใช้ของฉันอีกทีน่ะค่ะ ว่าสมัยอดีตเคยมีการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรีที่รุนแรงยิ่งกว่าปัจจุบันมากนัก เจ้าหญิงต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันและกัน จนผลสุดท้ายก้ลงเอยด้วยการเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น"


           "เจ้าหญิงที่ชนะการทำพิธีกรรม ภายหลังก็ถูกสังหารโดยเจ้าหญิงแห่งธริษตรีคนก่อนอีกที ด้วยเหตุผลว่านางไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะครองรับตำแหน่งนั้น"


           "นางไม่พอใจและสาปส่งพิธีแห่งธริษตรีในแต่ละปีว่าจะต้องประสบพบกับเรื่องร้าย และกลายเป็นที่มาของ คำสาปรองเท้าแก้ว"


           "คำสาปรองเท้าแก้วงั้นหรือ.."


           "อะ!" โชคชะตาส่ายมือไปมา "แต่ว่านั่นเป็นแค่เรื่องเล่านะคะ บางทีอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้"


           ถึงจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย แต่เจ้าหญิงแห่งจันทราที่ผ่านเหตุการณ์ทั้งหลายมาด้วยตัวเอง ก็คิดว่าเรื่องนั้นอาจจะเป็นเรื่องจริง แม้จะยังมั่นใจเต็มร้อยไม่ได้


           "เอาเป็นว่าหยุดเรื่องเครียด ๆ ไว้ก่อน แล้วมาทานขนมกันเถอะ" เจ้าหญิงแห่งความชั่งใจเดินย้อนกลับไปที่โซฟาแล้วค้นกระเป๋าตัวเอง "ฉันมีขนมชั้นเลิศจากอาณาจักรของฉันติดมาด้วย มาทานด้วยกันนะ"


           ทันทีที่นางหาขนมจนพบแล้วหยิบออกมา เจ้าหญิงแห่งความรักก็มาอยู่ตรงหน้านาง


           "เจ้าหญิงแห่งความรัก มีอะไ-!?"


           เสียงดัง ฉึ่ก ที่ไม่ควรจะมีภายในห้องแห่งดวงดารา ภาพที่ไม่อยากจะได้เห็นอีก ภาพที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ศีรษะของนางถูกผ่าลงจนถึงจมูก แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ชีวิตของนางสิ้นไปในชั่วพริบตา


           รอยยิ้มของฆาตกรที่ผุดขึ้นอย่างเสียสติ ดึงขวานออกมาจากร่างที่ไม่ขยับอีกต่อไปของความชั่งใจ


           "ท..ทำอะไรน่ะคะ..เจ้าหญิงแห่งความรัก..?"


           "นั่นสิ..อะไรกันนะ..ใช่แล้ว..มันคือความรักยังไงล่ะ..ความรักที่ฉันขอมอบให้กับพวกหล่อนไงล่ะ.."


           เสียงกรีดร้องดังขึ้นตามมา เจ้าหญิงแห่งความรักทุ่มสุดตัวฟาดขวานลงมาที่เตียงที่เจ้าหญิงแห่งจันทรานอนอยู่ เจ้าหญิงแห่งโชคชะตารีบถอยหลบ ขณะที่ซากิช่วยดึงมือของจันทราแล้วพาออกมา


           ปล่อยให้ขวานผ่าลงเตียงจนหักเป็นสองท่อน..


           "พ..พอเถอะค่ะ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลย" เจ้าหญิงแห่งโชคชะตาหวาดกลัว ปรากฏหยาดน้ำซึมอยู่ในนัยน์ตาของนาง


           "ฉันไม่ให้ใครปฏิเสธความรัก.." ความหลังเอียงคอหาโชคชะตา "..ของฉันหรอกนะ!"


           ขวานถูกเหวี่ยงออกไป ราวกับเสียงถูกทำให้เงียบไป ศีรษะของเจ้าหญิงหลุดกระเด็นออกจากร่างเนื้อ น้ำพุสีแดงซาดกระเซ่นไปรอบบริเวณ


           "ฮ่า ๆ ๆ ๆ ความรัก ใช่แล้ว นี่ล่ะคือความรักล่ะยังไงล่ะ"


           เจ้าหญิงหยุดอารมณืที่พลุ่งพล่านไว้ไม่อยู่แล้วฟาดขวานลงไปที่ร่างเนื้อที่เหลืออยู่ซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก..ซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก..ซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก


           "ทำไมกัน..เพราะอะไร..?" เจ้าหญิงแห่งจันทราสับสน ภาพทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปหมด มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกอย่างถึงกลายเป็นอย่างนี้


           "มีเสียงกระซิบถึงฉันไงล่ะ" เจ้าหญิงแห่งความรักหยุดการกระทำ


           "เสียงกระซิบ ?"


           "เสียงกระซิบบอกฉันว่าให้มอบความรักแก่ทุกคน บอกฉันให้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ ให้ฉันได้เป็นผู้ปลดปล่อยจากความทุกข์ที่เรียกว่าชีวิตนี่เสีย.." เจ้าหญิงที่โชกไปด้ยเลือดยกขวานขึ้นมา "..นี่ล่ะคือความรัก"


           "ไม่ค่ะ..แบบนี้มันไม่ใช่.."


           "ความรัก!!" เจ้าหญิงแห่งความรักฟาดขวานใส่จันทรา แต่ซากิลุกขึ้นและสกัดแขนของนางทำให้ขวานไม่ถึงทั้งตัวเธอหรือเจ้าหญิง


           "แก!" นางแผดเสียง


           "ช่วยพอเถอะค่ะ ทำแบบนี้ไปก็ไม่ได้อะไร" ซากิพยายามกล่อมเจ้าหญิง แต่ว่าดูเหมือนจะไม่ได้ผล


           "นังขี้ข้าสวะ อย่ามายุ่งเรื่องของเจ้าหญิงอันสูงศักดิ์นะ!" 


           เจ้าหญิงแห่งความรักทุ่มแรงสลัดซากิออกไป จนเธอไปกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ และล้มลงไป


           "เอาล่ะ มาต่อกันเถอะ" เจ้าหญิงผู้เสียสติกลับมาหาเจ้าหญิงที่ไร้ทางสู้ นางฟาดขวานลงใส่นางอีกครั้งแต่อีกฝ่ายสามารถหลบได้อย่างฉิวเฉียด


           "พอเถอะค่ะ พวกเราไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้นะคะ แบบนี้ไม่ใช่ความรักหรอกค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทรายังไม่สิ้นความหวัง และพยายามกล่อมให้เจ้าหญิงแห่งความรักยอมให้จงได้


           "ไม่ใช่ความรักงั้นรึ.."


           ...


           "..อย่างแกจะมาเข้าใจอะไร!" พริบตานั้นนางก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่หลบไม่ทัน


           เจ้าหญิงแห่งจันทราล้มลงและถูกฝ่าเท้าแห่งความรักกดบริเวณคอเอาไว้


           "เจ้าหญิง..ไม่สิ ผู้หญิงอย่างพวกเรามันก็ไม่ต่างจากหมูเพศเมียหรอก ได้แต่มีชีวิตมีสุขตามการเลี้ยงดูไปวัน ๆ ถูกเสี้ยมสอนและทำให้เชื่องด้วยคารมและความยินดีต่าง ๆ และผลสุดท้ายก็ต้องกลายเป็นหุ่นเชิดให้พวกผู้ชาย!" 


           "ฉันจะ.." เจ้าหญิงแห่งความรักง้างขวานขึ้นสุดศีรษะ 


           "อ..อา.." เพราะแรงกดทำให้จันทราไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้


           "..ช่วยปลดปล่อยพวกเธอเอ-!?"


           "ขออภัยด้วยค่ะ" 


           คมมีดเฉืิอดเฉือนเข้าไปในบริเวณช่องคอ เพียงเท่านั้นความเสียสติที่เกิดขึ้น ก็หยุดลงแต่เพียงเท่านั้น 


           "..ซากิ.."


           หญิงสาวในชุดเมดแสดงสีหน้าที่เย็นชาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอเพิ่งเป็นคนปลิดชีวิตเจ้าหญิงผู้เสียสติด้วยน้ำมือของเธอเอง


           เจ้าหญิงแห่งจันทราพูดอะไรไม่ออก ภาพของความตายที่ติดตา ภาพของความทรงจำที่ข่มขืน อาการปวดหัวที่ทวีคูณขึ้นทุกครั้งที่มีใครตาย ความหวาดกลัวที่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างกาย ไม่แน่ว่าอีกไม่นานนางเองก็อาจจะเสียสติอีกคนก็เป็นได้


           "เจ้าหญิง..ไปกันเถอะค่ะ"



           ซากิที่ดูยังไม่เป็นอะไรพยุงเจ้าหญิงที่ล้มอยู่ขึ้น


           "เจ้าหญิง.."


           เมดสาวมองเข้าไปในดวงตาของนาง แววตาที่ว่างเปล่า จิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ราวกับร่างนี้เป็นเพียงเปลือกนอกที่เหลืออยู่


           "..." ซากิไม่พูดอะไร แต่ก็ยังช่วยประคองเจ้าหญิงแห่งจันทรา เดินผ่านร่างไร้วิญญาณของเจ้าหญิงทั้งสามไปที่ประตู แล้วเปิดออกไปจากห้อง


           ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมาอีกครั้ง..แม้ว่าจะยังไม่รู้สึกตัวเต็มที่


           ความหนาวเย็น ความมืดมิด ความเงียบสงัด บรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดนี้ สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับมารู้สัมผัสอีกจนได้


           เพราะอาการช็อกทำให้เดินเร็วไม่ได้ ต้องคอยให้เมดสาวช่วยเหลือ กำหนดก้าวทีละก้าวไปอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้ล้ม


           มองไม่เห็นทางข้างหน้า แต่เพราะเธอคอยช่วยเป็น ตา ให้ ทำให้เดินไปได้อย่างไม่มีติดขัด


           เพล้ง!


           ได้ยินเสียงแสบแก้วหูดังขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นเสียงของสิ่งใด แต่เสียงนี้ทำให้นึกย้อนถึงความผิดพลาดของเจ้าหญิงแห่งสุริยัน ที่ส่งผลให้เธอต้องพบกับความตาย


           รู้สึกเหมือนถูกฉุดกระชาก คนที่อยู่ข้างกายพาหลบเข้ามุม


           "..ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ..?" จันทราเอ่ยปากถามทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สติดี


           "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่ช่วยรออยู่แบบนี้สักพักนะคะ"


           "อืม.." เจ้าหญิงพยักหน้าอย่างง่าย ๆ


           คำโกหกของเมดสาวเพื่อให้เจ้าหญิงที่ไร้กะจิตกะใจต้องเป็นอะไร หากแต่ความเป็นจริงนั้น เธอก็มองเห็นผ่านดวงตาคู่นั้นของเธอเอง


           "เจ้าหญิงแห่งราชรถ คิดจะทำอะไรของเธอน่ะ หยุดนะ!" เจ้าหญิงแห่งดุริยางค์หลังชนกับกำแพงหลังจากวิ่งหนีการไล่ล่าของเพื่อนเจ้าหญิงที่กำลังคลานสี่เท้ามาหาเธอเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน


           ".." เจ้าหญิงแห่งราชรถค่อยก้าวขาหน้าและขาหลังมาอย่างเชื่องช้า แววตาที่คมกริบเหมือนกับแมว เขี้ยวที่ขยายขึ้นราวกับสัตว์ป่า


           "แม้ว!!" ราชรถแผดเสียง นางก็กระโจนเข้ากัดที่ลำคอของดุริยางค์ สูบกินเลือดพร้อมขย้ำนางลงกับพื้น


           เสียงร้องของเจ้าหญิง กลายเป็นเหมือนเสียงดนตรีบรรเลง


           มือที่ยื่นจนสุดไปกลางอากาศเพื่อเรียกร้องหาความช่วยเหลือ..แต่ก็ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเหลือเธอได้


           ..จนมือนั้นห่อเหี่ยวและร่วงโรยลงไป..


           "ไปทางอื่นกันเถอะค่ะ" ซากิระมัดระวังไม่ให้เจ้าหญิงแห่งราชรถที่กลายเป็นเจ้าหญิงเสียสติอีกคนเห็น และคอยประคองเจ้าหญิงแห่งจันทราไปยังเส้นทางที่น่าจะปลอดภัยกว่านี้


           หรือนี่จะเป็นคำสาปรองเท้าแก้ว ที่เจ้าหญิงแห่งโชคชะตาบอกมากันนะ


           เหล่าเจ้าหญิงเริ่มเข่นฆ่ากันเอง เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างไร้วี่แวว ความมืดมิดที่พาทุกคนจมดิ่งไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 


           เมดสาวคุ้มครองเจ้าหญิงมาถึงช้้นบันไดที่จะพาพวกนางลงไปชั้นอื่น


           แต่ก่อนที่จะก้าวลงขั้นบันไดขั้นแรกนั้นก็..


           "นางคนอ่อนแอ"


           "นางคนใช้การไม่ได้"



           "!?" ซากิและเจ้าหญิงหยุดเดินทันทีที่ได้ยินเสียงบางอย่าง


           "..."


           "นางเจ้าหญิงจอมปลอม"


           "นางเสแสร้ง"



           "หรือว่า..นี่คือเสียงที่เจ้าหญิงแห่งความรักพูดถึง ?" ซากิคิด


           "นางหมูเพศเมีย"


           "นางแพศยา"



           "หยุดนะ.." เจ้าหญิงแห่งจันทรายกแขนขึ้นมาปิดหู


           "นางคนไร้ค่า"


           "นางฆาตกร"



           "พอได้แล้ว หยุดเดี๋ยวนี้!!" จันทราไม่อาจควบคุมสติของตัวเองไว้ได้อีกต่อไปแล้ว นางออกจากอ้อมแขนของซากิแล้ววิ่งหนีลงบันไดไปในทันที


           "เจ้าหญิง หยุดก่อนค่ะ!"


           "!!" คำเตือนของเมดสาวไม่เป็นผล เจ้าหญิงวิ่งผ่านประตูข้างหน้าแล้วหายไปคนเดียวแล้ว


           ซากิวิ่งตามไป แต่ทันทีที่ลงมาจากชั้นบันได พื้นเบื้องล่างก็เปิดออก..แล้วร่างของเธอก็ร่วงหล่นลงไป
           "จ..เจ้าหญิง.."


           ณ ข้างล่างของหลุมนั้น มีศิลาที่ถูกขัดเกลาให้กลายเป็นแท่งแหลม เตรียมรองรับร่างของผู้ร่วงลงมาพร้อมอยู่


           ..ได้ยินเสียงของแข็งทิ่มแทงดังก้องภายในหลุมนั้น..





           คำพูดเยาะเย้ย คำพูดถากถาง คำว่า คำด่า ยังคงไม่หมดสิ้น


           แม้จะปิดหู พยายามที่จะไม่ฟัง แต่เสียงก็ยังเล็ดลอดเข้ามาในโสตประสาท จนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งที่ไม่น่าฟังยังคอยซ้ำเติมเจ้าหญิงที่พยายามหนีไปให้ไกล แต่มันก็ยังคอยหลอกหลอนไม่รู้จักจบสิ้น


           "ทำไมถึงปล่อยให้ฉันตาย.." เสียงของเจ้าหญิงแห่งสุริยัน


           "ทำไมถึงมาเหยียบฉัน.." เสียงของเจ้าหญิงแห่งจุดสิ้นสุด


           "ทำไมฉันต้องตายแทนเธอด้วย.." เสียงของเจ้าหญิงแห่งอิสัตรี


           "ทำไมเธอถึงรอดไปคนเดียว.." เสียงของเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน


           เสียงของเหล่าเจ้าหญิงดังก้องอยู่ไปทั่ว รวมถึงภายในหัวของเจ้าหญิงแห่งจันทราเอง


           จนตอนนี้เธอก้าวขาออกไปไม่ไหวอีกแล้ว..


           "ฉันอุตาส่าห์ให้ขนมของฉันทั้งที.." เสียงของเจ้าหญิงแห่งความชั่งใจ


           "เครื่องรางของฉัน..เพราะฉันให้เครื่องรางของฉันไปแท้ ๆ .." เสียงของเจ้าหญิงแห่งโชคชะตา


           "แกมันก็แค่นังหมูตัวเมียไร้ค่า ทำได้แค่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในความรักของผู้อยู่สูงกว่าเท่านั้น" เสียงของเจ้าหญิงแห่งความรัก


           "คุณทำให้อาณาจักรของเราผิดหวัง ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ผิด รวมถึงทไำให้ตัวฉันผิดหวังด้วย" เสียงของอัลกามาร์


           "อ..อา..อาาา!!!" เจ้าหญิงแห่งจันทรากรีดร้อง น้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่หยุด อาการปวดหัวที่ตอกย้ำซ้ำเติมเข้าไปอีก


           เสียงหัวเราะของบรรดาเจ้าหญิง กำลังดูถูกดูแคลนเจ้าหญิงผู้อ่อนแอ ตัวตลกที่เป็นได้เพียงหุ่นละครทางการเมือง เป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกใช้งานและจะถูกทิ้งเมื่อใดก็ได้


           ปาก กลายเป็นเสียงของผู้คนหลากหลายเสียง ส่งเสียงเย้ยหยัน สิ่งเกลียดชัง คำสาปแช่ง นานาสารพัดไม่หยุดไม่หย่อน


           จิตใจที่เปราะบางของเจ้าหญิงแห่งจันทรากำลังจะแตกสลายในอีกไม่ช้า..


           เสียงหัวเราะดังก้องไปข้างในจิดใจ..ลึกลงไป..ลึกลงไป..


           .....


           ....


           ...


           ..


           .


           "นี่เธอเป็นอะไรเปล่า นี่ทำใจดี ๆ เอาไว้"


           เสียงเรียกของผู้หญิงผู้หนึ่งทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทราฟื้นขึ้นจากฝันร้าย


           "ดูท่าจะไม่เป็นไรนะ" หญิงสาวผมสั้นที่อยู่ข้างพูดอย่างโล่งอก


           "ไม่เป็นไรนะ ยืนไหวรึเปล่า ?" ผู้หญิงผมยาวตรงหน้าส่งมือให้


           "..ค..ค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทราจับมือของผู้หญิงแล้วลุกขึ้นยืน


           "พวกคุณคือ ?" สายตาของจันทรายังเบลอ ๆ ทำให้เห็นหน้าของทั้งสองไม่ชัด แต่เมื่อทุกอย่างกลับมาชัดเจนอีกครั้ง นางก็รู้ถึงฐานะของหญิงสาวทั้งสอง


           "เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง กับ เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม..?"


           "ถ้าจำไม่ผิดเธอคือเจ้าหญิงแห่งจันทราสินะ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงกล่าว จันทราพยักหน้า


           "เกิดอะไรขึ้นรึ ทำไมถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ ?" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมถาม


           "เกิดอะไรขึ้น.." จันทราเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า "..เกิดอะไรขึ้นกันนะ..นึกไม่ออกเลย"


           "ท่าทางจะเจอเรื่องน่ากลัวมาเลยทำให้สูญเสียความทรงจำช่วงนั้นไป" เจ้าหญิงคาดเดา


           "..ความทรงจำ.." จันทราพึมพำ และแล้วเธอก็นึกเรื่องออกเรื่องหนึ่ง "ซากิ..แล้วซากิล่ะ เมดที่คอยรับใช้ฉัน ไปอยู่ที่ไหนแล้ว ?"


           "เมดคอยรับใช้ ตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอเมดสักคนเลยนะ" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมพูด "หรือต้องเรียกว่าทุกคนหายตัวไปหมดเลย แต่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง..ของผู้หญิงอยู่หรอก"


           "เมดของฉันยังอยู่ทางนั้น ฉันต้องรีบไป" เจ้าหญิงแห่งจันทรากำลังจะวิ่งแต่ถูกเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงหยุดไว้


           "ใจเย็น ๆ ก่อน ถ้าเธอรีบไปคนเดียวอาจจะเป็นอันตราย"


           "ต..แต่ว่า.."


           "ฉันทราบว่าเธอผ่านเรื่องร้าย ๆ มามาก ดูจากรองเท้าของเธอที่โชกไปด้วยเลือดแบบนั้นคงจะเจออะไรมาสินะ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงกล่าวด้วยวาจาที่เข้มแข็ง "แต่พวกเราไม่ทราบเรื่องใดเลย เป้นไปได้ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เธอทราบให้พวกเราด้วย"


           "..." เจ้าหญิงแห่งจันทรายอมใจเย็นลง "..เข้าใจแล้ว"


           จันทราเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทั้งสองคนทราบ ทั้งเรื่องบางอย่างที่กำลังไล่ล่าสังหารเหล่าเจ้าหญิง เรื่องห้องลับที่มีแสงตามจำนวนเจ้าหญิงที่เสียชีวิตไป เรื่องที่เจ้าหญิงแต่ละคนเริ่มเสียสติและไล่ล่าคนอื่น และเรื่องที่เจ้าหญิงแห่งโชคชะตาเล่า..เรื่องของคำสาป


           "..คำสาปรองเท้าแก้วงั้นรึ.." เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงพิจารณาความคิดดังกล่าว


           "คิดว่าอย่างไรรึ เจ้าหญิง ?" ความยุติธรรมถาม


           "ก็มีความเป็นไปได้ แต่ว่าก็ยังยืนยันไม่ได้จนกว่าจะมีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัดล่ะนะ"


           "แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทรายืนยัน เธอเชื่อสุดใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น "มันจะต้องเป็นคำสาปรองเท้าแก้วแน่ ๆ"


           "อย่าเพิ่งเชื่อเรื่องอะไรก็ตาม หากยังไม่พิสูจน์ ขืนตีตัวไปก่อนไข้มีหวังได้ข้อสรุปที่ผิด ๆ กันพอดี" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงว่า
           "หรือว่า..เธอมีหลักฐานพิสูจน์เรื่องคำสาปนี่ ?"


           "ร..เรื่องนั้น.."


           "..." แรงกดดันจากเจ้าหญิงทำเอาจันทราพูดไม่ออก


           "แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง ที่ว่าเจ้าหญิงเสียสติจนฆ่ากันเองนั่นน่ะ เธอคิดว่าเป็นเพราะมีอะไรเข้าสิงพวกนางเช่นนั้นรึ ?"


           "ค..ค่ะ เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด เจ้าหญิงแห่งความรัก แล้วก็ถึงจะเลือนลางก็น่าจะรวมถึงเจ้าหญิงแห่งราชรถอีกคน" จันทราตอบขณะที่เรียบเรียงความทรงจำไปด้วย


           "เจ้าหญิงเพลิงสีชาดคือเจ้าหญิงคนแรกที่เธอเห็นว่าน่าจะถูกสิงสู่ใช่หรือไม่ ?" เจ้าหญิงถาม


           "..ค่ะ"


           คำตอบนั้นทำให้เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมหน้าถอดสี "เป็นไปไม่ได้!"


           "อ..อะไรเป็นไปไม่ได้หรือคะ ?"


           "ก็เพราะว่าเจ้าหญิงเพลิงสีชาดน่ะ น-!?"


           ก่อนที่ยุติธรรมจะพูดอะไรเจ้าหญิงก็ขัดขึ้น
           "บางทีสิ่งที่เธอคิดอาจจะผิดอยู่ก็เป็นได้"


           "..ความคิดของฉันผิด ?"


           "ที่เธอเล่าว่า เจ้าหญิงแห่งความรักเสียสติเพราะได้ยินเสียงบางอย่าง นั่นอาจจะเป็นแค่อาการเครียดที่เกิดจากสภาวะกดดัน ทำให้เธอจึงเกิดอาละวาดขึ้นมา ได้ยินมาว่าเดิมที เธอคนนั้นก็เป็นเครื่องมือทางความสำราญสำหรับพวกชนชั้นสูงส่วนใหญ่อยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่จะมีจิตใจที่ไม่สมประกอบด้วย" เจ้าหญิงว่า


           "เอ๋ ?"


           "เจ้าหญิงแห่งราชรถ กับเจ้าหญิงแห่งดุริยางค์เองก็อาจจะมีเรื่องที่ผิดใจกันจนทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งจนฆ่ากันเอง เพราะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้"


           "..ต..แต่ว่าตอนนั้นฉันได้ยินจริง ๆ นะว่า.."


           "ได้ยิน..ทำไมถึงได้ยินไม่ใช่ได้เห็นล่ะ ?"


           "นะ..นั่นเพราะว่า..ตัวฉัน..กำลัง..จิตตก"


           "เป็นคำตอบที่ฟังไม่ขึ้นเลยนะ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงดูจะไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าหญิงแห่งจันทราพยายามเล่าเลยแม้แต่น้อย


           "จะอย่างไรก็ตาม มีอยู่เรื่องหนึ่งที่พวกเราถูกหลอกอย่างชัดเจนล่ะนะ" เจ้าหญิงแห่งยุติธรรมพูดแทรกการสนทนาที่เคร่งเครียดนี้


           "ถูกหลอก ?"


           "คือว่า.."


           "แทนที่จะบอกด้วยลมปาก แสดงความจริงให้เห็นเลยน่าจะดีกว่า" พูดเสร็จเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงก็เดินนำไปประตูบานใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าพวกนางพอดี
           "สาเหตุที่พวกเรามาเจอเธอที่นี่ ไม่ได้เพราะได้ยินเสียงเธอร้องหรืออะไร แต่เป็นเพราะพวกเราต้องการจะมาสำรวจดูที่นี่อยู่แล้ว และพวกเราก็ได้เจอกับสิ่งนี้.."


           ทันทีที่นางเปิดประตูบานนั้นออก เจ้าหญิงแห่งจันทราก็ต้องได้พบเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นอีกครั้ง


           เจ้าหญิงสามคนถูกแขวนอยู่ในสภาพเดียวกันกับ เจ้าหญิงแห่งธริษตรีหรือเจ้าหญิงแห่งสิ่งตรงข้าม ในสภาพที่เลือดนั้นได้แข็งตัวจนหมดแล้ว แต่สภาพศพของพวกนางก็ไม่อาจดูได้ยิ่งกว่า


           เหมือนกับของที่อยู่ข้างในจะทะลักออกมา เจ้าหญิงแห่งจันทราที่เห็นภาพเหล่านี้มาหลายครั้ง จนในที่สุดก็เหมือนจะมาถึงขีดสุด


           "..."


           หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ เจ้าหญิงแห่งจันทราจึงเอ่ยปากถามเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง


           "พ..พวกนางคือ ?"


           "ถึงจะเพราะไม่อาจระบุตัวตนได้จากรูปหน้าได้ แต่ว่าจากเครื่องแต่งกายที่พวกนางสวมใส่ก็คงบอกได้ว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด, เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน และเจ้าหญิงแห่งมรกต"


           "..อะไรนะ ?"


           "ได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันกำลังจะบอกว่า..พวกเราทุกคนโดนหลอก เจ้าหญิงสามคนนั้นที่อยู่บนแท่นพิธีกับพวกเรา..ไม่ใช่ตัวจริง"


           ดวงตาของเจ้าหญิงแห่งจันทราเบิกกว้าง สำหรับเจ้าหญิงเพลิงสีชาดนั้นอาจจะใช่ เพราะนางเห็นความผิดปกติของนางอย่างชัดเจนเมื่อครั้งนั้น แต่สำหรับเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนแล้ว


           "..ไม่ใช่..เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน..นางน่ะ.." รอยยิ้มของนางยังคงอยู่ในความทรงจำของจันทรา


           "ส่วนเจ้าหญิงแห่งมรกตที่กระทำการป้องกันพวกเราจากมือสังหาร ตอนที่แท่นพิธีนั่นบางทีก่อนอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง แต่ว่าไม่ว่าเหตุผลใด ความจริงก็คือพวกนางได้สังหารเจ้าหญิงตัวจริงสามคนนี้ไปก่อนแล้วปลอมตัวเป็นพวกนาง"


           เท่านี้จำนวนที่หายไปสามก็ลงตัว.. 


           "เจ้าหญิง แล้วสรุปแล้วคิดว่าอย่างไร ?" เจ้าหญิงแห่งยุติธรรมถาม


           "บางทีอาจจะมีคนรู้เรื่องคำสาปแห่งรองเท้าแก้ว จึงจัดฉากให้ดูเหมือนเป็นเช่นนั้น แต่เป้าหมายที่แท้ของพวกทันก็คือการขโมยสมบัติที่อยู่ภายในห้องนั้นออกไป เจ้าหญิงตัวปลอมสามคนนั้นคงเป็นตัวการที่สังหารเจ้าหญิงแห่งธริษตรีด้วย ส่วนมือสังหารที่มาลอบยิงพวกเราอาจจะเป็นมือสังหารที่ถูกส่งมาโดยเขตแดนอื่น"


           "ระยะนี้ได้ยินว่าเกิดความขัดแย้งระหว่างแต่ละเขตมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะส่งคนมาตัดกำลังเสียแต่เนิ่น ๆ ขณะเดียวกันก็เกิดเรื่องคำสาปรองเท้าแก้วปลอมนี้ขึ้นมาพอดี แต่แผนผิดพลาดเพราะทั้งสองเรื่องมาชนกัน บางทีคนที่ร้องเพลงอาจจะเป็นหนึ่งในพวกเดียวกันที่เตรียมไว้สำหรับยามฉุกเฉินเช่นนี้อยู่"


           "แล้วการที่คนอื่นหายตัวไป ส่วนบรรดาเจ้าหญิงกระจัดกระจายไปเช่นนี้ล่ะ ?"


           "อาจจะมีเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้พวกมันฆ่าพวกเราไม่ได้ในทันที และต้องไล่ฆ่าพวกเราทีละคนแบบนี้ก็ได้"


           "ไม่ใช่หรอก.." เจ้าหญิงแห่งจันทรากล่าวขึ้นมาเงียบ ๆ


           "ไม่ใช่..ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำสาปรองเท้าแก้วต่างหาก!"


           "โลกนี้อาจจะเต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับและพลังเหนือธรรมชาติ แต่ว่าโลกนี้ไม่มีคำสาปอะไรไร้สาระนั่นหรอก!" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงขึ้นเสียงอย่างหนักแน่นกับจันทรา


           จันทราเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่แล้วปล่อยมือ ตบไปที่แก้มของเจ้าหญิง


           "พอใจรึยังล่ะ"


           "จะไปพอใจได้ยังไงล่ะ..จะต้องเป็นคำสาปสิ..เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากคำสาปรองเท้าแก้ว"


           ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่สู้ดีนัก เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมกำลังจะเข้าไปไกล่เกลี่ย ทว่าการปรากฏของสิ่งนั้นจึงทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปในบัดดล


           "..ครือ.." เสียงร้องที่กล้ำกลืนอยู่ในลำคอ เสียงของฝีเท้าที่เงียบเชียบ แต่เพราะขนาดตัวจึงไม่อาจกลบเสียงได้หมด รูปร่างที่เป็นเหมือนมนุษย์ และอยู่ในเสื้อผ้าของหญิงที่สูงศักดิ์ แต่สภาพที่ตอนนี้ไม่ต่างไปจากสัตว์ป่า ทั้งกรงเล็บ ทั้งเขี้ยวฟัน ทั้งนัยน์ตานั้น เจ้าหญิงแห่งจันทราเคยเห็นมาก่อน


           "เจ้าหญิงแห่งราชรถ.."


           เจ้าหญิงทั้งสามต่างพากันรู้สึกหวาดหวั่นใจ ขาเริ่มก้าวถอยหลังเตรียมที่จะถอยหนี แต่รู้สึกเหมือนว่าหากมีใครออกวิ่งก่อน ย่อมจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีเสียยิ่งกว่าขึ้นแน่


           รอจังหวะ..เจ้าหญิงแห่งราชรถคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่ก็ไม่ได้เข้าใกล้เจ้าหญิงทั้งสามจนเกินไป


           ความเงียบเข้าปกคลุม ต่างฝ่ายต่างระมัดระวัง มองดูเชิงของกันและกัน วัดความอดทนอดกลั้นว่าใครจะเริ่มลงมือก่อน


           ในที่สุดผู้ที่ไม่อาจทนรอไหวก็คือ..


           เมื่อสังเกตเห็นมันแยกเขี้ยว งอแขนและขาอย่างตั้งมั่น นั่นคือสัญญาณแห่งการจู่โจม


           "แม๊ว!!" เสียงร้องแสบแก้วหู เจ้าหญิงแห่งราชรถกระโดดเข้าตระครุบเหยื่อ แต่ทั้งสามสามารถเบี่ยงหลบได้ทัน


           เจ้าหญิงแห่งจันทราหลบมาคนละทางกับเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง และเจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม ทำให้เธอกลายเป็นเป้าหมายที่อยู่คนเดียว


           "!!" จันทราออกวิ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าของมันตามมา


           ความรู้สึกนี้ รูปลักษณ์เช่นนั้น ความกดดันที่สัมผัสได้นี้ ไม่วาอะไรช่างเหมือนกับเมื่อตอนนั้น ใช่แล้วนี่คือสิ่งยืนยันว่าเป็นความจริง..เจ้าหญิงแห่งราชรถ กำลังถูกแมวตนนั้นสิงอยู่..คำสาปรองเท้าแก้วเป็นเรื่องจริง


           เจ้าหญิงแห่งจันทราวิ่งมาจนถึงทางตัน สะท้อนภาพเหมือนกับเจ้าหญิงแห่งดุริยางค์


           หลังของนางชิดอยู่กับฝาผนังเช่นเดียวกัน มีสิ่งที่กำลังไล่ล่าเหมือนกัน


           เมื่อมันแยกเขี้ยวออกมาก็ทำให้รู้ว่าคิดจะฆ่าด้วยวิธีเดียวกัน


           (จะทำอย่างไรดี..)


           "แม๊ว!!" เจ้าหญิงแห่งราชรถกระโดดเข้าใส่


           มือของเจ้าหญิงแห่งจันทราสัมผัสไปทั่วผนัง และดูเหมือนนางจะสามารถหามันได้เจอโดยบังเอิญ ปุ่มกดลับที่แฝงอยู่ในภาพที่เหมือนกัน


           เมื่อกดลงไป กลไกก็ทำงาน เปิดประตูลับที่พาร่างของจันทราที่อยู่แนบชิดกับผนังลงไป และปิดลงก่อนที่มันจะเข้ามาถึงตัวนาง


           ปากขบกัดลงไปที่ผนังที่แข็งจนฟันของมนุษย์หรืออะไรก็ตามแต่ไม่อาจฝังลึกเข้าไปได้


           เจ้าหญิงแห่งราชรถที่ถูกสิง ข่วนผนังไม่หยุดหย่อนคิดจะทำลายผนังแล้วตามล่าต่อไปให้ได้ แต่ว่าไม่ว่าทำเช่นใดผนังก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ


           จนในที่สุดมันก็ยอมแพ้ที่จะไล่ต่อ แล้วหันกลับไปตามหาเจ้าหญิงอีกสองคนข้างหลัง


           แต่คงเพราะทิ้งช่วงเวลาไปพอสมควร พอมันกลับมาก็หาพวกนางไม่เจอเสียแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่เจ้าหญิงที่ถูกห้อยแขวนอยู่สามคนในสภาพไร้วิญญาณ


           ระหว่างที่พยายามเสาะหาเหยื่อรายต่อไป เจ้าหญิงแห่งราชรถที่ถูกสิงจนกลายเป็นครึ่งคนครึ่งแมวก็ถูกบางอย่างเรียกร้องความสนใจ


           เงาสีดำที่อยู่อีกฝั่งของกระจก ฉากหลังเป็นหมู่เมฆอึมครึมชวนรู้สึกไม่สบายใจ กระทั่งปรากฏเพลิงสีน้ำเงินขึ้นบนใบหน้าของเงา..


           ..พร้อมกระบอกปืนที่จ่อเล็งมา..


           เสียงลั่นไกปืนดังขึ้น กระจกแตกเป็นเสี่ยง ๆ กระสุนเจาะทะลุเข้าศีรษะของมันแทบในทันที กระสุนที่ถูกเสริมด้วยเพลิงสีฟ้ากลายเป็นเหมือนจรวด นำพาร่างของเป้าหมายไถลลากไปกับพื้น ชนเข้ากับผนัง


           กระสุนคงจะระเบิดอยู่ข้างในหัว เพราะหลังจากนั้นเกิดเพลิงสีฟ้าผลาญร่างเนื้อของเจ้าหญิงแห่งราชรถเป็นจุลในพริบตา
           เปลวเพลิงลุกลามไปรอบ ๆ ทุกสิ่งรอบนั้นถูกเผาไหม้ไปหมดสิ้น


           เงาสีดำก้าวเข้ามาภายในปราสาท โดยที่ไม่เป็นอะไรต่อเปลวไฟของตนเอง


           สายตาที่เย็นชามองดูสภาพที่เหลืออยู่และกำลังจะหมดไปของซากศพ


           ขณะเดียวกันนั้นก็เห็นเงาสีดำที่เล็ดลอดออกไปจากเปลวเพลิง


           แต่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจ และดูดเปลวเพลิงรอบ ๆ ข้างกลับมาจนภาพสีฟ้าหายไปจนหมด เหลือทิ้งไว้แต่ซากและกลิ่นเผาไหม้


           ดาบที่สะพายอยู่ที่เอวยังไม่ถูกชักออกมา แต่ว่าในอีกไม่นานก็อาจจะได้ใช้


           ภารกิจไล่ล่าเหล่าเจ้าหญิงได้เริ่มขึ้น..


           ปีศาจ..ได้กลับมาถึงแล้ว..

           .
           .
           .
           .



           "กรี๊ดด!!"



           เจ้าหญิงแห่งจันทราไถลร่วงลงมาตามทางจนมาถึงที่สุด หลังกระแทกกับพื้นทำให้ออกอาการเจ็บเล็กน้อย


           "..เจ็บจัง" เจ้าหญิงลุกขึ้นยืนและมองไปรอบ ๆ "ที่นี่คือ ?"


           กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ลำธารสีคล้ำเป็นทางยาวแยกเป็นหลายสาย ได้ยินเสียงน้ำไหล และเสียงของสิ่งมีชีวิตที่ซ่อนอยู่ในเงามืดแต่ไม่อาจเห็นตัว ถึงเช่นนั้นศิลาที่ใช้เป็นผนังกำแพงทั้งหลายก็ยังดูเป็นศิลาชั้นดี


           "ท่อน้ำทื้ง ?" 


           จันทราจำความมืดเมื่อครั้งอยู่บนปราสาทได้ดี แม้จะมืดแต่ก็ยังมีแสงจากเบื้องนอกส่องเข้ามาให้พอเห็น แต่สำหรับข้างใต้ล่างนี้ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสีเดียวกันจนแยกกันไม่ได้


           "จะไปทางไหนดี.." ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะก้าวเดินไปทิศทางใด เท้าของหน้าก็เผลอก้าวพลาดไปยังจุดที่ไม่มีพื้น..


           "กรี๊ด!"  เจ้าหญิงกรีดร้องและตกใจ แต่ก็ยังชักเท้าขึ้นมาได้ทัน


           รองเท้าที่เปื้อนไปด้วยสีแดงเหล่านี้ ถึงอย่างไรก็คงยังไม่อยากจะพบชะตาที่เน่าเหม็นเหมือนกับนางจึงไม่ยอมตกลงไป


           "..." นางตัวสั่นบ้างเล็กน้อย แต่เพราะอาการปวดหัวบรรเทาลงแล้ว เพื่อความปลอดภัยจึงเลือกที่จะแนบชิดกับผนังไว้แล้วค่อยเดินไปตามทางช้า ๆ


           เหมือนว่าดวงตาจะเริ่มปรับชินกับความมืดข้างล่างนี้แล้ว แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังไม่อาจมองเห็นภาพต่าง ๆ ได้ชัดอยู่ดี สีที่มองเห็นมีเพียงสีดำและสีน้ำเงินเข้ม


           ชวนให้คิดถึงปราสาทที่เต็มไปด้วยแสงสี ปราสาทที่ส่องสว่างแม้ยามราตรีมาเยือน ปราสาทที่ทำให้หัวใจของนางเต้น ทุกครั้งที่ได้จ้องมองที่นั่น


           สิ่งเหล่านั้นราวกับกลายเป็นสิ่งที่ยาวนานทั้งที่ไม่ได้ยาวไกล


           "!?"


           (แสง ?)


           ระหว่างที่เจ้าหญิงแห่งจันทรากำลังจะเลี้ยวที่มุมหนึ่ง นางก็สังเกตเห็นสีอื่นอยู่ภายในท่อระบายน้ำแห่งนี้ นางหลบเข้าริมผนังแล้วแอบชะเง้อมองไปเพียงเล็กน้อย


           มีใครบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวพร้อมกับแสงสีเหลือง


           ลักษณะการเคลื่อนไหวช่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ แสงนั้นก็ช่างคล้ายกับแสงของเปลวไฟ แต่เพราะห่างเกินไปจึงไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนนัก


           แต่แล้วแสงนั่นก็เลี้ยวมาทางนี้..


           หัวใจของเจ้าหญิงสั่นระริก รวมทั้งขาและแขนของนาง ลมหายใจเข้า-ออกเริ่มไม่เป็นจังหวะ คิดจะหนีแต่ขากลับก้าวไม่ออก


           เห็นปลายแสงรำเรืองอยู่ปลายขอบ..


           เจ้าหญิงหลับตาลงพร้อมหลับชะตากรรม


           "เจ้าหญิง..หรือคะ ?"


           ทันใดที่ได้ยินเสียงของผู้หญิงผู้หนึ่ง เสียงที่คุ้นเคยยิ่งกว่าทุกเสียงที่ผ่านมา เจ้าหญิงแห่งจันทราลืมตาขึ้น นางหวังให้สิ่งที่นางได้ยินเป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่นางจะได้เห็น


           และเมื่อมองไปยังทิศทางนั้น เบื้องหลังแสงเทียนในมือของเธอ
         

           หญิงสาวผู้คุ้นหน้าคุ้นตา


           หญิงสาวที่นางรู้จักดีเสียยิ่งกว่าใคร ๆ


           หญิงสาวที่เป็นทั้ง
      คุณครู, เพื่อนและพี่สาว


           เพียงแค่ได้พบหน้าก็ไม่อาจรั้งความรู้สึกไว้ได้อยู่


           "เจ้าหญิงคะ เป็-ว้าย!?"


           "อัลกามาร์!" เจ้าหญิงแห่งจันทราโผกอดคนรับใช้ส่วนตัวของนางด้วยความปลื้มปิติ จนทั้งสองเกือบตกลงไปในน้ำที่เบื้องล่าง และดีที่อัลกามาร์นำเทียนหลบทัน มิเช่นนั้นเทียนอาจจะไปเผาร่างของเจ้าหญิง หรือดำไปจนต้องอยู่ภายในความมืดกันก็ได้


           "จ..เจ้าหญิงคะ ทำอะไรกันคะ จู่ ๆ ก็.."


           "ดีจังเลย ในที่สุดก็ได้พบกัน ดีจังเลย.."


           "ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงค่ะ เจ้าหญิง" อัลกามาร์ยิ้มอ่อน และลูบผมของเจ้าหญิงในอ้อมตักอย่างอ่อนโยน












           "คิดว่าหลบพ้นรึยัง ?"


           "ก็ยังไม่แน่นอน แต่ว่าก็คงต้องใช้เวลาหากคิดจะตามหาพวกเรา"


           เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงและเจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม หลบหนีมาจากการไล่ล่าของเจ้าหญิงแห่งราชรถที่กลายเป็นครึ่งอสูร แล้วมายังห้อง ๆ หนึ่งที่มีความกว้างใหญ่ และซับซ้อนเสียจนแม้แต่พวกนางยังแทบไม่เชื่อสายตา


           "ที่นี่คือ.."


           "ห้องสมุดของปราสาทสินะ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงพักเหนื่อยเสร็จก็เดินนำไปก่อน เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมเดินตามไปติด ๆ


           "หนังสือเต็มไปหมดเลยเนอะ"


           "ก็นี่ห้องสมุด จะไม่ให้เยอะได้อย่างไรล่ะ"


           "จริงสิเนอะ ฮะ ๆ ๆ"


           เจ้าหญิงทั้งสองเดินตรงเข้าไปภายในห้องลึกขึ้นเรื่อย ๆ และหยุดเมื่อพบเห็นบางอย่าง


           "นั่นมัน..!?"


           ศีรษะแหงนขึ้นฟ้า ดวงตาเบิกกว้างเห็นเส้นเลือด สีผิวซีดเผือก ชุดพื้นเมืองสีเขียวอ่อนที่โชกไปด้วยน้ำโลหิต กลางอกของนางเป็นรูโหว่ นั่งไร้วิญญาณอยู่บนเก้าอี้ไม้


           "อีกคนแล้วรึ.." เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมพยายามละสายตาจากเจ้าหญิงนางนั้น


           "เจ้าหญิงแห่งมิโกะงั้นรึ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงเหมือนจะไม่มีอาการสะทกสะท้าน แล้วเดินเข้าไปตรวจดูศพของมิโกะ


           "สาเหตุการตายคือหัวใจถูกดึงออกไป" เพียงแค่มองก็เข้าใจได้ทันที ที่มาใกล้ ๆ ก็เพื่อให้ชัดเจนขึ้น เมื่อมองไปที่โต๊ะก็เห้นว่าทุกอย่างถูกวางอย่างเป็นระเบียบ หนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการชงชา ก็วางอยุ่บนโต๊ะในสภาพเรียบร้อย
           มีเก้าอี้ล้มอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ..


           เจ้าหญิงเคลื่อนมือไปกลบตาที่ยังไม่ยอมปิดของมิโกะ ทว่าตอนนั้นเอง..


           "ใครน่ะ!?"


           "กรี๊ด!" เสียงร้องเล็ก ๆ ที่มาอย่างที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ


           "เด็ก ?"


           "เสียงนี้..ถ้าจำไม่ผิด" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมรู้สึกเหมือนว่าเคยได้ยินนี้มาก่อน เธอจึงย่อตัวลง และเสาะหาเจ้าของเสียงนั้น


           "อะ เจอแล้ว ใช่จริง ๆ ด้วย!"


           "เจ้าหญิงแห่งหอคอย"


           เจ้าหญิงตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะไม้ริมกำแพง คือเจ้าของเสียงร้องที่ถูกเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงทำให้ตกใจ ซึ่งเจ้าหญิงแห่งยุติธรรมก็เข้าไปปลอมและพาเธอออกมา


           "ไม่เป็นไรแล้วนะ เข้มแข็งเข้าไว้ ๆ"


           "ต..ตัว..ฉันไม่เป็นไรค่ะ ร..เรื่องแค่นี้ ตัว..ฉ..ฉันไม่ใช่เด็กแล้วค..ค่ะ" เจ้าหญิงน้อยทำเป็นกล้า ทั้ง ๆ ที่ดูก็รู้ว่าฝืนทั้งน้ำตา


           "แบบนั้นก็ดี เพราะทางนี้ต้องการทราบเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่พอดี" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงส่งเสียงเย็นชา


           "เจ้าหญิง หอคอยยังเป็นเด็กอยู่นะ อ่อนโยนลงสักหน่อยสิ" ยุติธรรมกล่าว


           "ก็อยากอยู่ แต่ทำไม่ได้ ยิ่งเป็นต่อหน้าสถานการณ์แบบนี้ด้วย"


           เมื่อเจ้าหญิงกล่าวเช่นนั้นแม้แต่ยุติธรรมก็ได้แต่ยอมรับความจริง เจ้าหญิงย่อตัวลงและเริ่มถามหอคอย
           "เธอเห็นใช่ไหม ว่าใครเป็นคนฆ่านาง ?"


           "..." หอคอยพยักหน้าแบบสั่น ๆ


           "นางตายด้วยการถูกควักหัวใจจากทางด้านหน้า แต่จากลักษณะบาดแผล และสภาพทางกายของนางแล้ว ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ระวังตัวหรือคิดจะหลบเลี่ยงสิ่งที่เกิดขึ้นเลย"


           "นางอาจจะถูกโจมตีโดยที่ไม่ได้ระวังตัวก็ได้" ยุติธรรมเดา


           "ไม่ก็.." เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงลุกขึ้น "..ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของคนที่สามารถเข้าใกล้เธอได้ ดูสิมีเก้าอี้ล้มอยู่อีกฝั่งด้วย เหมือนกับว่าทางนั้นลุกขึ้นมาอย่างกระทันหันแล้วทำการจู่โจมนางระหว่างนั้น หลักฐานคือ..ถ้าถูกลอบโจมตี หนังสือที่วงอยู่บนโต๊ะนั้นก็ไม่น่าจะเรียบร้อยถึงขนาดนั้นได้"


           "เดี๋ยวนะ เจ้าหญิงแห่งมิโกะได้ยินมาว่าเป็นคนที่ขี้อายมาก ๆ เลยนี่น่า ขนาดพวกเราก็เห็นกับตายามที่นางอยู่บนเวทีและแท่นพิธีเลย การจะมีคนที่เข้าใกล้และคุยกับนางได้เป็นปกติ ไม่น่าจ-"


           "มีสิ" ทันทีที่เจ้าหญิงกล่าวเช่นนั้นยุติธรรมเองก็นึกออก


           "คนที่สามารถเข้าใกล้นางได้ ที่ความเป็นไปได้ที่สุดภายในปราสาทแห่งนี้ ก็เห็นจะมีแต่..คนรับใช้ส่วนตัวเท่านั้นล่ะ"


           "..."


           "เจ้าหญิงแห่งหอคอย ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ?"


           เจ้าหญิงแห่งหอคอยตกใจเล็กน้อย เธอเสียงสั่นเมื่อต้องพูดถึงเรื่องนั้น แต่นางก็ยังพยายามพยักหน้าและเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น
           "ตอนที่ตัวฉันตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเอง พอออกมาก็มาพบกับเจ้าหญิงแห่งมิโกะระหว่างทาง พวกเราต่างไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน แต่ก็เดินไปด้วยกัน จนกระทั่ง.."


           "..มีคนที่เหมือนจะเป็นคนรู้จักของเจ้าหญิงแห่งมิโกะมาพบ เธอคนนั้นช่วยพาพวกเรามาที่ห้องสมุด เจ้าหญิงแห่งมิโกะคุยกับเธออย่างสนิทสนมโดยที่ตัวฉันเหมือนกลายเป็นแค่ตัวเกะกะ และระหว่างที่ตัวฉันไปหาหนังสือที่อื่นนั้นเอง.."


           ภาพอดีตแสนทารุณของเหตุการณ์นั้นย้อนกลับมา ทำให้เจ้าหญิงแห่งหอคอยไม่กล้าพูดต่อ


           เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมเข้าไปกอดเจ้าหญิงตัวเล็ก "พอได้แล้วล่ะ เจ้าหญิง หอคอยยังเป็นแค่เด็กนะ"


           "ต..ตัวฉัน..ม..ไม่ใช่เด็กแล้วค..ค่ะ.." ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ตอนนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาไปหมดแล้ว


           "ไม่เป็นไร แค่นี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ"


           พูดเสร็จเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงก็เดินไปสำรวจแผงหนังสือที่อยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น แต่นางไม่ได้เลือกหยิบหนังสือเล่มใดออกมา กลับกัน นางเลือกกดหนึ่งในหนังสือแต่ชั้นลงไปหนึ่งนิ้ว


           "ทำอะไรอยู่เช่นนั้นรึ ?" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมที่ไม่รู้ถาม


           "สาเหตุที่ฉันมาที่ห้องสมุดเป็นเพราะมีเหตุผลสองข้อ.."


           "..ข้อหนึ่ง จากที่เจ้าหญิงแห่งจันทราเล่าว่า ภายในปราสาทแห่ง
      ธริษตรีจะมีห้องลับซ่อนอยู่ในแต่ละที่ เรื่องนั้นเป็นเพียงเรื่องเดียวที่ฉันเชื่อว่านางพูดเป็นความจริงที่สุด.."


           "แบบนี้นี่เอง แล้วทำไมห้องต้องเป็นห้องสมุดล่ะ ?"


           เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงไปกดหนังสือริมสุดห้องก่อน แล้วค่อยพูดว่า "เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม เธอเคยไปที่หอสมุดแห่งเทพธิดารึเปล่า ?"


           "หอสมุดแห่งเทพธิดา..เอ๋ นี่เจ้าหญิงเคยขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ด้วยเช่นนั้นรึ ?"


           "ใช่เสียทีี่ไหนล่ะ" เจ้าหญิงเดินไปกดหนังสืออีกจุดหนึ่ง "ไปแค่สาขาย่อยเท่านั้นล่ะ แต่ก็ทำให้ทราบว่า หอสมุดแห่งเทพธิดาแต่ละที่นั้นเชื่อมโยงถึงกัน จากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งได้"


           "แล้วก็ตัวฉันในวัยเด็กเคยบังเอิญเปิดไปยังหอสมุดที่แท้จริงที่อยู่บนสรวงสวรรค์ นั่นล่ะถึงทำให้เกิดเหตุผลข้อสองขึ้น.."


           นางกดหนังสือเล่มสุดท้าย และกลไกก็เริ่มทำงาน


           "..เหตุผลข้อสองคือ ฉันคิดอยู่เสมอว่า ไม่ว่าหอสมุดแห่งใด ย่อมต้องมีความลับเก็บงำไว้"


           ชั้นหนังสือเกิดการเคลื่อนไหว ล่างสลับบน-บนสลับล่าง บันไดที่จะเชื่อมพาไปด้านบนถูกเลื่อนออก ปรากฏผนังเป็นรูปครึ่งวงกลมขึ้นมา พร้อมกับโต๊ะ และอุปกรณ์ส่วนตัวหลายอย่าง 


           "ท่าทางพวกเราจะเจอห้องลับส่วนตัวของเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรีแล้วล่ะ"


           เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงเดินนำไปก่อน เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมพาเจ้าหญิงแห่งหอคอยเดินตามเข้าไป เมื่อทั้งสามเข้าไปข้างใน ผนังครึ่งวงกลมก็ปิดล้อม และทำการพาพวกนางลงซ่อนชั้นใต้ดิน
           ส่วนหอสมุดด้านบนก็คงกลับคืนสู่เป็นสภาพเดิม


           เจ้าหญิงตรงไปที่โต๊ะ เธอเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนนั้น พร้อมกับข้อความที่ถูกเขียนอยู่บนแผ่นกระดาษ


           "นั่นคือ.."


           "..คงเป็นข้อความสั่งเสียของเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรีก่อนที่นางจะถูกฆ่า" เจ้าหญิงหยิบแผ่นกระดาษใบนั้นขึ้นมาอ่าน และตอนนั้นเธอเองก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติบริเวณปลายกระดาษ และบนพรมที่พื้น


           "แต่ว่านางถูกฆ่าที่ใดกันล่ะ แล้วจึงไปปรากฏในสภาพนั้นที่แท่นพิธีได้.."


           "ไม่จำเป็นต้องเสาะหาให้เหนื่อยหรอก เพราะสถานที่ฆาตกรรมน่ะก็ที่นี่ไงล่ะ"


           "หา แต่ว่าที่นี่เป็นห้องลับส่วนตัวของเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรีมิใช่รึ เช่นนั้นใครกันที่จะเข้ามาได้..หรือว่าจะ.."


           "อาจจะเหมือนกับกรณีของเจ้าหญิงแห่งมิโกะก็เป็นได้ แต่ว่าที่ฉันคิดก็คือ.." เจ้าหญิงมองไปที่บรรทัดสุดท้ายบนแผ่นกระดาษ


           '
      ..เพราะครั้งนี้ ตัวเราจะทำให้โลกต้องได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดให้ได้..!'


           "..บางทีเจ้าหญิงแห่งธริษตรี อาจจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่ไม่ควรยุ่งก็เป็นได้.."














           "ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองมาอยู่ภายในท่อระบายน้ำแห่งนี้แล้วล่ะค่ะ"


           "แต่ว่าก็ตื่นมาพบว่าอยุ่เพียงคนเดียว ไม่พบหรือเห็นชนชั้นสูงหรือเจ้าหญิงคนไหน แม้กระทั่งพ่อบ้านหรือเมดเลยก็ตาม"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรา และคนรับใช้คนสนิท-อัลกามาร์ เดินไปตามทางท่อระบายน้ำ โดยมีแสงเทียนในมือของอัลกามาร์เป็นเพียงแสงเพียงหนึ่งเดียวที่คอยนำส่องทาง


           "แล้วอัลกามาร์ไม่กลัวเลยหรือ ?"


           "กลัวสิคะ แต่ว่าท่อระบายน้ำแห่งนี้แม้จะมีหลายอย่างที่ไม่พึงประสงค์ ทว่าตั้งแต่ที่ฉันออกตามหาหนทางที่จะกลับขึ้นไปข้างบนแล้ว ก็ยังไม่พบเจอสิ่งเป็นอันตรายแม้แต่สิ่งเดียวค่ะ"


           "อัลกามาร์นี่ ขี้โกงจังเลยนะ" เจ้าหญิงแห่งจันทรากล่าวด้วยวาจาที่เศร้าสร้อย


           "คะ ?"


           อัลกามาร์หยุดเดินเพราะเห็นจันทราหยุดเดินกระทันหัน


           "..ตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมาก็พบแต่เรื่องร้ายมาตลอด ทั้งแมวประหลาดบ้าง, โดนเงาดำในชุดเกราะไล่ล่าบ้าง และยังถูกไล่ฆ่าโดยเจ้าหญิงคนอื่น ๆ อีก..และที่สำคัญ.." น้ำเสียงของนางสั่นเทา หยดน้ำจากแก้วตาเริ่มหลั่งริน
           "..และที่สำคัญ ต้องมาเห็นเจ้าหญิงคนอื่น ๆ พากันถูกฆ่าตายแบบนี้ ไม่ไหว..ฉันรับต่อไปไม่ไหวแล้วนะ"


           "เจ้าหญิง.."


           จันทราเข้าโผกอดอัลกามาร์กระทันหัน "ฉันกลัว..กลัวมาก ๆ เลย"


           ท่ามกลางความมืดมิดที่เสียงอื่นใดช่างเบาจนไม่อาจได้ยิน เสียงของเจ้าหญิงที่ร่ำไห้กลายเป็นเสียงที่เด่นดังที่สุดใต้ข้างล่างนี้ นางกำลังปลดปล่อยความอัดอั้นในใจทั้งหมดออกมากับเพื่อนคนสนิทของนาง


           ..ขณะที่มือของอัลกามาร์กำลังขยับไปหาเจ้าหญิงอยู่นั้น..


           "ออกห่างเจ้าหญิงผู้นั้นเดี๋ยวนี้นะ!" เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ


           เสียงนั้นทำให้น้ำตาของเจ้าหญิงแห่งจันทราหยุดไหล แห่งรีบหันควับกลับไปในทันที ทำให้นางพบเห็นเธอคนนั้นที่ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก


           "..จ..เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน!?"


           เจ้าหญิงแห่งจันทราลุกขึ้นและกำลังจะวิ่งไปหา แต่ว่าคำพูดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว..


           "
      ..พวกเราทุกคนโดนหลอก เจ้าหญิงสามคนนั้นที่อยู่บนแท่นพิธีกับพวกเรา..ไม่ใช่ตัวจริง.."


            "..เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด เจ้าหญิงแห่งมรกต และเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน.."


           จันทราหยุดชะงักระหว่างทาง แม้นางจะเป็นคนบอกว่าไม่เชื่อว่าเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้ แต่ว่าภายในจิตใจของนางก็ยังมีความคิดแบบนั้นแอบแฝงอยู่


           
       ..ภาพความทรงจำหวนกลับมา เมื่อครั้งที่อยู่บนห้องลับ เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนน่าจะถูกกับดักกำแพงหิน..


           ..ถ้าอย่างงั้นทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้..


           "เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน.."


           "จันทราถอยออกมาจากคนรับใช้ของเธอเดี๋ยวนี้!"


           "เอ๋!?" คำพูดของเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนทำให้จันทราสับสน แต่ว่าจากสีหน้าและน้ำเสียงของนางแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่การล้อเล่น


           "ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวปลอม ไม่ใช่ตัวจริง!"


           "!?" เจ้าหญิงแห่งจันทราหันย้อนกลับไปหาอัลกมาร์อย่างสั่นเทา แต่อัลกามาร์ก็ขยับขึ้นมาและโต้แย้งเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนกลับไปว่า


           "คนที่ควรพูดคำนั้นคือฉันต่างหาก อย่าคิดว่าฉันดูไม่ออกนะ เจ้าน่ะหาใช่เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนไม่ ตัวจริงของเจ้าเป็นใครกันแน่!?"


           คำกล่าวนั้นตรงกับที่เจ้าหญิงแห่งจันทรารู้มาจากเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง ว่าเจ้าหญิงภาพสะท้อนคนนี้ไม่ใช่ตัวจริง เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนตัวจริงนั้นถูกแขวนอยู่ภายในห้องชั้นบน


           เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน(?)ขบฟันแล้วพูดขึ้นว่า "จริงอยู่ที่ฉันอาจจะไม่ใช่เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน ต..แต่ว่า.."


           "เจ้าหญิงคะช่วยถอยไปด้วยค่ะ" อัลกามาร์ขึ้นมาด้านหน้าของจันทรา


           จันทรายังรู้สึกสับสนและยังไม่เชื่อสนิทใจ ทุกครั้งที่นางนึกถึงรอยยิ้มและความเป็นมิตรที่เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนมีให้ ยิ่งทำให้นางไม่อยากจะเชื่อว่านางเป็นคนไม่ดี


           "ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าหญิงเอง" อัลกามาร์เอียงคอมาพูดกับเจ้าหญิง


           "อย่าถูกหลอกนะ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนรับใช้ของเธอ!"


           "..." ดวงตาคู่นั้นของเจ้าหญิงเริ่มสั่นคลอน นางตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเชื่อใครดี ระหว่างเจ้าหญิงตัวปลอมที่บอกว่าคนรับใช้ของตนไม่ใช่คนที่นางรู้จัก หรือคนรับใช้ของนางและสิ่งที่นางรู้มาว่าเจ้าหญิงตัวปลอมคนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง


           "ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะเจ้าหญิง.." อัลกามาร์พูดขึ้น "..ทุกอย่างจะจบลงในไม่ช้า"


           "อัลการมาร์.." เจ้าหญิงรู้สึกถึงโทนเสียงที่เปลี่ยนไปของอัลกามาร์


           ทันใดนั้น อัลกามาร์ก็หันควับกลับมา เทียนในมือถูกเหวี่ยงสะบัดมาพร้อมกัน สิ่งนั้นกำลังจะถูกขว้างใส่เจ้าหญิงแห่งจันทรา


           หมับ!
           ทว่าฝ่ามือของคนรับใช้ก็ถูกหยุดไว้โดยเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน ที่มาปรากฏอยู่ ณ ตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่ในพริบตา


           การรุก-รับเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ทั้งสองเอนเอียงตกลงไปยังทางน้ำเบื้องล่าง


           ขาของจันทราเขยื้อนมาริมขอบโดยไม่กลัวที่จะตก พยายามสอดส่องสายตาหาทั้งสองที่เพิ่งจมน้ำลงไป แต่เพราะเทียนในมือของอัลการมาร์จมน้ำลงไปด้วย ทุกอย่างเลยดูมืดไปหมด


           ทันใดนั้นน้ำก็แตกกระจาย หญิงสาวผู้หนึ่งผุดขึ้นมาจากน้ำก่อน
           เธอคือคนรับใช้คนสนิทของเจ้าหญิงแห่งจันทรา


           "ย้ากก!!" อัลกามาร์แผดเสียง คว้ามีดออกมาจากชุดแล้วจ้องมาที่จันทราด้วยสายตาที่ดุดัน


           เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน(?) ปรากฏขึ้นมาจากน้ำตามมา ในมือของนางถือตลับแป้งทรงสีดำไว้ 
       "จงเผยร่างที่แท้จริงออกมาเสีย!" 


           สิ้นเสียงของนาง ตลับแป้งก็เปิดฝาออก กระจกฉายแสงสีเหลืองออกมา


           จากในที่ที่มืดมิดกลับกลายเป็นสว่างวาบในบัลดล ทุกอย่างถูกแสงสว่างห้อมล้อมจนสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน


           รวมถึงร่างที่แท้จริงของอัลกามาร์ด้วย..


           "แฉ่!!" ใบหน้าของอัลกามาร์ผุดหนังเกล็ดคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน แผงคอของเธอปรากฏแผงคอที่เหมือนกับแผงคอของกิ้งก่า และร่างกายที่กลายเป็นเช่นนั้นอย่างสมบูรณ์


           "..อัลกามาร์.." จันทรานำมือขึ้นป้องปาก เธอไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น แต่นั่นคือความจริงเรื่องที่ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนรับใช้ของนาง


           "มาหลอกลวงเพื่อนของฉัน ทำให้ฉันโกรธจริง ๆ แล้วนะ" ภาพสะท้อน(?)ร้อง ชักลิปสติกขึ้นมาในช่องระหว่างนิ้วสามช่องทั้งสองมือ


           หัวลิปสติกปล่อยแท่งแสงสีแดงไปชมพูตามลำดับ ฟันเป็นรูปกากบาทไปที่อัลกามาร์ตัวปลอม


           ทางน้ำสั่นไหว สัตว์เลื้อยคลานเคลื่อนถอยลงไปจากตำแหน่งเดิมสอง-สามเมตร


           ลิปสติกถูกเก็บลงไปแล้วหยิบแปรงปัดแก้มขึ้นมา เพียงสะบัดจากล่างขึ้นบนในระยะประชิดใกล้ ผงจากแปรงก็กระจายตัวไปเกาะที่ร่างของมันแล้วเกิดระเบิดเล็กขึ้นบนผิวกาย


           "แฉ่!" ร่างกายเกิดรอยไหม้ขึ้นตามจุดต่าง ๆ หน้าอกของมันเปิดออก เผยออกเป็นกระจก พร้อมกับมีแสงแสบร้อนฉายออกมา


           เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนถอยหลบออกมาได้ทัน แต่แขนเสื้อรับเข้าไปเต็ม ๆ ส่งผลให้ผ้าส่วนนั้นถูกไหม้เกรียมจนไม่เหลือแม้แต่เศษผ้า


           ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่บาดแผลฉกรรจ์ การถูกเปิดช่องว่างเพียงพริบตาเดียวนี้ก็เพียงพอให้มันเคลื่อนไหว


           "แย่แล้ว" ภาพสะท้อน(?)กำลังบางสิ่งขึ้นมา แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการ


           สัตว์เลื้อยคลานพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ไปเข้าไปหาภาพสะท้อนที่เสียจังหวะอยู่ มันกระโดดขึ้นไปจากทางน้ำไหล เข้าไปหาเจ้าหญิงแห่งจันทราที่ไร้ทางสู้


           "กรี๊ดด!"


           "แฉ่!" มันแยกเขี้ยวอย่างน่ารังเกียจ กรงเล็บของมันตรงไปที่นาง


           ทันใดนั้นก็เส้นสีแดงพุ่งโฉบเข้ามา แทงทะลุเข้าอก-กระจกขวาของมัน การเคลื่อนไหวของมันหยุดชะงักกลางอากาศและถูกแสงนั้นนำพาร่างกลับตกลงไปน้ำอีกครั้ง


           "โคโตฮะ" เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนส่งเสียงดีใจ


           ปลายทางของเสียงนั้นไม่อาจมองเห็นเจ้าของเสียงได้อย่างชัดเจน มองเห็นเพียงออร่าสีแดงชาดที่อยู่รอบกายตัวเธอ 
      "ตอนนี้ล่ะเมกุมิ" 


           ฝาขวดน้ำหอมถูกเปิดออก..


           สัตว์เลื้อยคลานกลับขึ้นมาจากน้ำอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็นคือภาพของเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนกำลังเทน้ำหอมสีชมพูลงไปในน้ำทิ้ง


           สัญชาตญาณอันตรายร้องเตือน แต่มันก็ไม่มีเวลาพอที่จะหนีไปไหนได้


           น้ำหอมที่ไหลลงสู่ผืนน้ำ เปลี่ยนน้ำสีคล้ำกลายเป็นชีชมพู สายทางทั้งเส้น ทั้งมุมเลี้ยว มุมช่องที่ทางน้ำสามารถไหลผ่าน ปรากฏเรืองแสงสีชมพูล้วนทั้งสิ้นอย่างรวดเร็ว


           ร่างที่อยู่ในน้ำเพียงครึ่งเดียว ก็ราวกับถูกบางอย่างยึดเหนี่ยว ร่างกายถูกดึงจมลงไปเรื่อย ๆ ส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างทรมาณ ก่อนที่จะถูกน้ำสีชมพูนั้นพาจมดิ่งหายไปในที่สุด


           แสงค่อย ๆ ถูกจำกัดวงลงให้มารวมอยู่ที่สัตว์เลื้อยคลานที่จมหายไป จนกระทั่งกลายเป็นวงเล็ก ๆ แล้วหายไป


           "..จ..จัดการไปแล้ว.." เจ้าหญิงแห่งจันทราที่ยังมองตาค้างอย่างสับสนพึมพำ


           "ทำได้ดีนะเมกุมิ" เสียงของผู้หญิงมาอยู่ข้าง ๆ ของนาง เมื่อจันทราหันหน้าไปนางก็พบกับ..


            "!?" นัยน์ตาเบิกกว้าง แผ่นหลังชนลงกับพื้น ทั่วทั้งร่างกายสั่นไม่หยุด เต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ภาพของนางซ้อนทับกับภาพที่เห็นเมื่อก่อนหน้านี้


           "นี่เธอเป็นอะไรรึเปล่า ?"


           "จ..เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด.."


           "ม..ไม่นะ!!!" เจ้าหญิงแห่งจันทรากรีดร้องอย่างเสียสติ ทำให้เจ้าหญิง(?) ทั้งสองต่างสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น


           "จันทราเป็นอะไร!?" ภาพสะท้อนรีบเข้ามาประคองร่างของเจ้าหญิง


           "ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ"


           "ตั้งสติไว้ก่อน เฮ้!"


           หลังจากที่ส่งเสียงร้องเสียงดังมาขณะหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งจันทราก็สลบลงไปทั้งแบบนั้น 


           "จันทรา จันทรา จัน..."


           เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงของเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน(?) ที่พยายามเรียกชื่อนาง และภาพสุดท้ายที่มองเห็นคือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มของเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด..












           "ถ้าหลบอยู่ตรงนี้จะปลอดภัยจริง ๆ รึเปล่า.."


           "พี่.."


           เจ้าหญิงรุ่นเด็กสองนางถูกพาเข้าไปในตู้เสื้อผ้าโดยเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์


           "เชื่อใจพี่เถอะ เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย แล้วก็น้องสาวของพี่เองก็ด้วย ในฐานะเจ้าหญิงเวทมนตร์คนน้อง เจ้าจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้เข้าใจไหม"


           "แต่ว่าพี่จะไปซ่อนที่ไหนเล่า ในนี้แค่พวกเราสองคนก็เต็มแล้วนะ" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องเป็นห่วง


           "เดี๋ยวพี่เองก็จะไปหาที่ซ่อน แถว ๆ นี้เหมือนกันล่ะ ไม่ต้องกลัว แล้วพอปลอดภัยแล้วพี่จะกลับมารับนะ ระหว่างนี้ก็อย่าส่งเสียงดัง และกล้าหาญเข้าไว้นะ" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนพี่ลูบศีรษะของน้องสาว


           "งั้นพี่ปิดประตูแล้วนะ" 


           "อืม/ค่ะ" เจ้าหญิงวัยเด็กทั้งสองพยักหน้าตกลง เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนพี่จึงทำการปิดประตูตู้เสื้อผ้าลง


           แววตาของพี่สาวหม่นหมองลง "ขอโทษนะ.."


           "ถึงแม้จะตายไปคนหนึ่ง แต่หากยังเหลืออีกคนล่ะก็อาณาจักรก็ยังพอมีความหวังอยู่"


           คำกล่าวที่คล้ายสั่งเสียของพี่สาวโดยที่นางไม่อาจได้ยิน เนื่องจากอาณาจักรแห่งเวทมนตร์นั้นจมีการมอบตำแหน่งเจ้าหญิงให้สองนาง ซึ่งจะเป็นญาติพี่น้องกัน ผิดกับอาณาจักรอื่น ๆ ที่ถึงแม้มีพี่น้องก็จะยกตำแหน่งนี้ให้พี่คนโตก่อน


           การตัดสินใจของเจ้าหญิงคนพี่ นางออกไปจากห้องพักของเจ้าหญิงแห่งตรงกันข้าม และวิ่งไปให้เบาที่สุดบนทางเดินรอบปราสาท


           นางกับน้องสาวตื่นขึ้นมาให้ห้องพักของตัวเองด้วยกัน จนกระทั่งไปพบกับเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย แล้วก็ร่วมติดตามกันมานับแต่นั้น


            ..และพวกนางก็คอยหลบหนีเจ้าสิ่งนั้นมาโดยตลอด..


           เวทมนตร์หลบเข้ามุมผนัง เพราะได้ยินเสียงบางอย่างมาจากทางเลี้ยวมุมหนึ่ง


           เสียงน้ำหนักของโลหะ ทุกก้าวล้วนฟังดูหนักหน่วงและเชื่องช้า แต่นางรู้ดีกว่าเมื่อใดที่มันหาตัวนางเจอ ความเชื่องช้านั้นจะแปรเปลี่ยนไปในทันที


           แต่เพื่อเหล่าน้องสาวที่หลบซ่อนอยู่..ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว


           เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์หยิบหินรูปดาวขึ้นมา นางสูดอากาศเข้าปอดแล้วรวบรวมความกล้าออกไปจากที่ซ่อน แล้วขว้างหินก้อนนั้นใส่มันทันที


           ก้อนหินลอยผ่านอากาศ ปฏิกิรยาตอบสนองของมันในชุดเกราะทำงาน ง้างคมดาบฟันตัดก้อนหินนั้นเป็นสองซีก และนั่นก็เป็นไปตามแผนของเจ้าหญิง


           สิ่งที่มันไม่คาดคิดคือหินก้อนนั้น ทันทีที่ถูกตัดไป มันก็ระเบิดออก ไร้ซึ่งพลังทำลายล้างหรือดินระเบิด มีเพียงแสงจ้าที่ส่องสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน


           ดวงตาคมสีแดงสับสน ภาพที่มองเห็นพร่ามัว ปลายทางมองเห็นเจ้าหญิงยืนอยู่ ณ จุดนั้น


           "ตามฉันมาสิ!"


           เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ท้าทายเสร็จก็ออกวิ่งไปทันที


           ผู้สวมเกราะสลัดความสับสนทิ้งแล้ววิ่งติดตามไป อย่างที่เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คาดไว้ ยามที่มันไล่ล่าสังหารเหยื่อน้ำหนักที่มากมายของเกราะนั้น ไม่ได้ช่วยลดความเร็วของมันลงเลย


           เพียงครู่เดียว มันก็เกือบจะไล่ทันเวทมนตร์เสียแล้ว


           เจ้าหญิงหยิบหินอีกก้อนขว้างย้อนกลับไป มันในชุดเกราะไม่ทันตั้งตัวแล้วถูกระเบิดแสงเข้าใส่เต็ม ๆ อีกครั้ง ทำให้มันหยุดชะงัก


           แล้วก็ภาพทุกอย่างจะกลับมา..เจ้าหญิงก็หายตัวไปเสียแล้ว..





           "แฮ่ก..แฮ่ก..แฮ่ก.."

           เจ้าหญิงหอบเหนื่อยจากการวิ่งหนีจากมัน นางมาหลบอยู่ในห้องครัวของปราสาท
      ธริษตรี ซึ่งก็ไม่ได้ห่างจากที่มันอยู่ล่าสุดเท่าไรนัก แต่ก็คิดว่าน่าจะพอซื้อเวลาได้


           หินแสงเหลืออยู่อีก..สองก้อน


           "ยังต้องพาไปให้ไกลกว่านี้.."


           เมื่อพักจนพอหรืออย่างน้อยก็คิดว่าพอแล้ว เจ้าหญิงก็เตรียมจะวิ่งอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะมาจากด้านหลัง


           ฉัวะ!


           เสียงและแสงที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่อาจรับรู้ได้ทัน กำแพงตรงนั้นก็ถูกตัดขาดออกจากกันเยี่ยงแผ่นขนมปัง ข้าวของภายในห้องครัวเองก็ถูกตัดไปพร้อมกัน รวมกระทั่งหูซ้ายของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์..


           "อะ..อ๊ากก!" เจ้าหญิงร้อง ยกมือทั้งสองข้างปิดหู สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุด ไม่อาจฝืนทนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้


           เสียงโลหะกระทบพื้นดังใกล้เข้ามาในห้อง พร้อมดาบคาตานะในกำมือ


           เวทมนตร์ตั้งสติพร้อมขว้างหินแสงใส่อีกครั้ง หวังจะช่วยถ่วงเวลา


           การเคลื่อนไหวของมันในชุดเกราะเปลี่ยนไป แทนที่มันจะฟันดาบแบบครั้งก่อน มันชักดาบเข้าลำตัว พร้อมพุ่งแทงไปที่ระหว่างกลางของหินพอดี เมื่อทำเช่นนั้นหินก็แตกสลายไป แต่ไม่มีการปรากฏแสงใด ๆ


           เจ้าหญิงคิดจะวิ่งหนี แต่วิ่งไปได้ไม่เท่าไร คมดาบนั้นก็ฟันเฉือนไปที่ข้อเท้าขวาของนาง


           ร้องเท้าและเท้าหลุดกระเด็นออกไป การทรงตัวไม่อาจทำได้อีก แล้วล้มลงทั้งแบบนั้น หน้าผากกระแทกกับขอบโต๊ะก่อนลงมากระแทกพื้นซ้ำ


           "..อะ..อะ.." เจ้าหญิงยังไม่หมดสติ แต่ความเจ็บปวดที่แล่นผ่านไปทั่วร่างกายนี่ทำให้เธอทรมาณ


           "ต้องไป..ให้ไกลกว่านี้.."เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ ส่งไปให้กับฝ่ามือที่พยายามดึงทั้งร่างกายของตัวเองไป


           "จะต้อง.."


           ฉึ่ก!


           เจ้าหญิงกระอักเลือดออกมาจากปาก คมดาบเพิ่งแทงทะลุเข้าแผ่นหลังทะลุช่องท้องนางไป


           "ยะ..ยัง.." นางยังคงพยายามยื่นมือออกไป


           ฉึ่ก!


           ..ปอด..


           นางยังคงพยายามจะมีชีวิต


           ฉึ่ก!


           ..หน้าอกฝั่งขวา..


           นางยังคงพยายามเพื่อเจ้าหญิงอีกสองคน


           ฉึ่ก!


           ..ไหล่ขวา..


           ฉึ่ก!


           ..ไต..


           ฉึ่ก!


           ..ตับ..


           ฉึ่ก!


           ..ปล้องกระดอกสันหลัง..


           บัดนี้พื้นห้องครัวท่วมไปด้วยน้ำโลหิตจากเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ ตัวนางที่พยายามมาตลอดเองก็แน่นิ่งลงไปแล้ว แต่ยังมีลมหายใจที่แผ่วเบาและติดขัดจนไม่อาจเรียกว่าการหายใจได้อยู่


           หัวใจของนางเต้นช้าลงเรื่อย ๆ ..ช้าลงเรื่อย ๆ


           
      สติเองก็เหมือนกำลังจะเลือนหายไปในอีกไม่ช้า..



           ใบหน้าของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องผุดขึ้นมาจากความทรงจำ


           "..ริ.."


           มือซ้ายล้วงไปเข้าไปในเสื้อ หยิบหินก้อนสุดท้ายออกมา..


           มันในชุดเกราะง้างดาบขึ้น เตรียมพร้อมจะแทงเจ้าหญิงที่หัวใจเพื่อจบชีวิตนาง



            แรงเฮือกสุดท้ายของนาง ไปพร้อมกับการพลิกตัวกลับพร้อมขว้างหินแสงก้อนสุดท้าย การเคลื่อนไหวที่คาดไม่ถึงของนางทำให้หินไประเบิดที่เบื้องหน้าของมันพอดี


           “อ้ากกก!! มันส่งเสียงร้องดังลั่นไปทั่ว ดาบในมือเหวี่ยงสะบัดอย่างไร้รูปแบบ แขนซ้ายของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์พลาด ถูกคมดาบตัดทิ้งไปพร้อมกันด้วย


           แต่ถึงยังไงเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ก็ฝืนทนความเจ็บปวดและความทรมาณที่มีไม่ไหวแล้ว..ดวงตาของนางเรืองแสงสีทองขึ้นมา..ก่อนที่จะดับลงไปพร้อมกับร่างที่แน่นิ่งไป



           ด้วยแสงสว่างที่อยู่ใกล้กว่าทุกที มันเลยกว่าจะฟื้นสภาพกลับมามองเห็นได้อย่างสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาหลายนาที


           เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ สายตาคู่นั้นก็จับจ้องลงไปที่ร่างของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์อย่างเคียดแค้น


           ดาบถูกแทงซ้ำลงไปแม้ว่านางจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แทงซ้ำลงไปอีกด้วยความรู้สึกที่สั่งสม แทงซ้ำลงไปอีกไม่ว่าจะเหตุผลอะไร มันแทงลงไป แทงลงไป แล้วก็แทงลงไป


          จนทั่วทั้งพื้นกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าทะเลเลือด


          สุดท้ายมันในชุดเกราะง้างดาบขึ้น เตรียมจะฟันลงใบที่ใบหน้าของนางเป็นครั้งสุดท้าย


          ฟุบ!


          เสียงตวัดดาบสั่นพ้องไปทั่วอากาศ แต่ก็เกิดการหยุดชะงักเงียบระหว่างกลาง


          หางตาของมันสังเกตเห็นบางอย่าง บางอย่างที่สำคำคัญและอันตรายยิ่งกว่าการทำร้ายศพของเจ้าหญิงที่สิ้นใจไปแล้ว เงาสีดำที่อยู่ ณ กำแพงที่ถูกตัวมันตัดทำลายทิ้ง


          ดวงเนตรสีฟ้าอ่อนที่เรืองแสงอยู่ในความมืด ความเงียบสงัดและบรรยากาศที่ชวนวังเวง ดาบที่เอวของผู้นั้นค่อย ๆ ชักออกมาอย่างช้า ๆ


           "..."


           "..."


           ฉัวะ!!


           พริบตาเดียวผู้ใช้ดาบทั้งสองก็ผ่านร่างของกันและกันไป


           ทั้งสองยืนเงียบครู่หนึ่ง ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง


           กระทั่งเกราะตั้งแต่ส่วนแขนขวาไปจนถึงหัวไหล่ และตัวซีกขวาก็ถูกตัดทำลายไปอย่างหมดสิ้น


           มันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บแค้นแล้วชักดาบกลับมาหาผู้ยืนอยู่ข้างหลัง เงาสีดำเองก็สวนกลับมาพอดี เตะคางของมันกระเด็นกลับออกไปยังทางเดินและกระแทกตีลังกาหมุนอยู่หลายรอบ


           เพื่อหยุดเอาไว้ มันจึงปักดาบลงพื้นเพื่อใช้เป็นตัวค้ำ จึงหยุดได้ก่อนที่จะกระเด็นไปไกลกว่านี้


           เงาสีดำกระโดนออกมาจากห้องครัว เพลิงสีฟ้าถูกดูดเข้าไปในกระบอกปืนขนาดใหญ่ในมือซ้าย แล้วเมื่อลั่นไก หัวกระสุนก็ถูกยิงออกมาพร้อมเปลวไฟ


          มันในชุดเกราะตวัดดาบขึ้นตั้งรับ ผ่ากระสุนระหว่างกลางพอดี แต่เพราะไฟสีฟ้าทำให้แรงปะทะนั้นรุนแรงมากกว่าที่คาด กระจกแตกกระจายเพราะคลื่นที่สั่นสะเทือนไปทั้งทางเดิน


          ในวินาทีเดียวกันนั้น เงาสีดำก็พุ่งตัวเข้ามาหามันในชุดเกราะ ดาบตวัดเข้าไว้หลังกระสุนผ่านเพลิงสีฟ้า แรงปะทะเพิ่มเป็นเท่าตัวจนทำให้ดาบของชุดเกราะหักเป็นเสีี่ยง ๆ


           แต่ดาบของปีศาจยังคงไม่หยุดอยู่แค่นั้น ฟันผ่านดาบที่แตกหักตรงเข้าลำคอของมันและผ่านไปเหมือนฟันผ่านอากาศ


           นับเวลาสามถึงห้าวินาที..ที่คอของมันที่สวมเกราะก็มีเลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมาไม่หยุด และล้มนอนแน่นิ่งลงไปในทันที


           ปีศาจจุดไฟสีฟ้าที่ดาบชำระล้างเลือดที่ติดอยู่บนตัวดาบ แล้วสลัดไฟทิ้งก่อนจะเก็บกลับเข้าฝัก


           เสียงที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที แล้วทุกอย่างก็กลับไปเงียบสงัดอย่างทุกทีอีกครั้ง


           ดวงตาของปีศาจมองหันกลับไปยังห้องครัว ณ ที่นั้นไม่มีร่างของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ที่ควรจะจะนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นแล้ว


           แต่กลับปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดเมดยืนอยู่ตรงนั้น..









           เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องและเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย ยังคงซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าตามที่เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนพี่บอก และรอเวลาที่นางจะกลับมารับ


           "พี่..ไปนานจังเลย"


           "..หรือว่าเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์จะ.."


           "ไม่มีทาง พี่น่ะทั้งเท่และแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นไม่มีทางเป้นอะไรแน่"


           "..นั่นสิเนอะ" เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยยิ้มร่าเพราะเชื่อในสิ่งที่เจ้าหญิงคนน้องพูด


           ขณะที่ตัวเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องเป็นคนพูด แต่ตัวนางรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงการหลอกตัวเองเท่านั้น การที่พี่สาวของนางออกไปเช่นนั้นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลย และการที่เป็นพี่น้องกันทำให้นางรู้อยู่แล้วว่าการไปหาที่ซ่อนอื่นที่ว่ามานั้น..เป็นคำโกหก..


           แต่น้องสาวก็ยังคงเชื่อมั่นในพี่สาวว่าจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน


           ..หรือเปล่านะ..


           ขณะนั้นเองเจ้าหญิงทั้งสองก็ได้ยินเสียงบางอย่างข้างนอกตู้เสื้อผ้า แล้วกำลังเดินมาทางนี้


           "..เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์หรือเปล่าน่ะ ?" เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยถาม


           "..ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องตอบ "พี่.."


           เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วมาหยุดตรงหน้าตู้เสื้อผ้าพอดี


           ได้ยินเสียงเหมือนมีใครกำลังจะเปิดล็อกของตู้เสื้อผ้าจากข้างนอก


           เจ้าหญิงทั้งสองตัวสั่น จับมือกันและกัน ถอยหลังชิดกับผนังตู้จนสุด ลุ้นอย่างหวาดกลัวว่าใครหรืออะไรจะเปิดประตูเข้ามา



           และทันใดนั้นประตูตู้ก็เปิดอออก!




           เจ้าหญิงทั้งสองหลับตาลง ไม่กล้าผู้ที่เปิด จนกระทั่งมีเสียงของหญิงสาวเอ่ยขึ้น


           "ทั้งสองท่านคือเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์และเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยสินะคะ" 


           ทั้งสองลืมตา ผู้ที่มาเปิดประตูเสื้อผ้าคือผู้หญิงในชุดเมด ที่ส่งรอยยิ้มให้พวกนางอย่างเป็นมิตร


           "ธ..เธอเป็นใคร ?" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องถาม น้ำเสียงยังคงมีความกลัวอยู่


           "ขอประทานอภัยที่ไม่ได้แนะนำตัวค่ะ" เมดสาวย่อตัวขอโทษ และเริ่มพูด "ดิฉันมีชื่อว่า ซากิ มิซึชิมะค่ะ  ดิฉันได้รับคำสั่งจากเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ให้มารับทั้งสองคนน่ะค่ะ"


           "พี่น่ะหรือ"


           "นี่ ๆ แล้วเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ไปไหนแล้ว ?"


           "เจ้าหญิงติดพันธกิจที่ต้องรีบทำอย่างเร่งด่วนน่ะค่ะ เลยไม่สามารถกลับมาหาพวกท่านได้ด้วยตัวเอง ระหว่างทางก็พบกับตัวดิฉันพอดี ดิฉันจึงอาสามารับพวกท่านทั้งสองให้แทนค่ะ"


           "อ๋อ ๆ แบบนี้นี่เอง งั้นพี่สาวเมดก็เป็นคนดีสินะ"


           เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยค่อนข้างใส่ซื่อจึงเชื่ออย่างที่เมดที่ชื่อซากิคนนี้บอก แต่สำหรับเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องนั้น..


           "แล้วเราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเธอไม่ใช่พวกที่คิดจะพาพวกเราไปฆ่าน่ะ"


           ซากิที่ได้ยินแบบนั้น จึงถอยหลังและนั่งคุกเข้าลงครึ่งขา พร้อมหลับตาลงและกล่าวขึ้นว่า "ดิฉันขอสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่มีทางทำร้ายเจ้าหญิงทั้งสองเป็นอันขาด" 



           "ที่ดิฉันทำได้ก็มีเพียงคำสาบานลมปากนี้ พวกท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คำพิจารณาของพวกท่านค่ะ"


          "..." 
      คำพูดและท่าทางที่แน่วแน่นั่นทำเอาเวทมนตร์คนน้องถึงกับพูดอะไรไม่ออก


           "..งั้นก็ ซากิ ช่วยพาพวกเราไปที่ปลอดภัยที"


           "ทราบแล้วค่ะ"


           เจ้าหญิงทั้งสองออกมาจากตู้เสื้อผ้าและตามซากิไป


           เมดสาวมองย้อนกลับไปตามเส้นทางที่จากมา..


           ..สะเก็ดเพลิงสีฟ้าที่ล่องลอยผ่านอากาศมาจากที่ที่อยู่ห่างไกล..











           "..."


           เจ้าหญิงแห่งจันทราลืมตาขึ้นมา สิ่งแรกที่นางเห็นคือเจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน(?) กำลังนั่งมองมาที่นางอยู่


           "เจ้าหญิง..แห่งภาพสะท้อน..?" จันทราส่งเสียงงัวเงีย


           "ยา! ตื่นแล้วเรอะ เจ้าหญิงแห่งจันทรานี่สลบไปกี่รอบแล้วน่ะ เหมือนจะเห็นหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ตลอดเลย" ภาพสะท้อนพูดด้วยท่าทีที่ร่าเริง


           "ไม่ได้นับเสียด้วยสิคะ"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรามองผ่านไหล่ของภาพสะท้อนไป นางเห็นเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาดกำลังยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจนัก


           "เจ้าหญิง..แห่งเพลิงสีชาด.."


           ก่อนที่ความรู้สึกกลัวจะเข้าครอบงำอีกครั้ง เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนก็กุมมือเธอไว้ ทำให้ความรู้สึกหายไปชั่วขณะ


           "ไม่ต้องกลัว โคโตฮะไม่ใช่คนเลวหรือคนที่คิดจะฆ่าเธอหรอก เธอเป็นเพื่อนของฉันเอง" น้ำเสียงของภาพสะท้อน(?) เหมือนพยายามให้ปลอบจันทรา


           "โคโตฮะ ?"


           "เจ้าหญิงแห่งจันทราคะ ดิฉันขออภัยที่แสดงท่าทีที่ดูเป็นอันตรายต่อคุณ จนสร้างความหวาดกลัวให้คุณนะคะ" เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด(?) พูดขึ้นและก้มหัวขอโทษ


           "เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน..พวกคุณเป็นใครกันหรือคะ..พวกคุณเป็นคนที่.."ภาพของเจ้าหญิงสามคนที่ถูกแขวนในสภาพเดียวกันกับเจ้าหญิงแห่ง
      ธริษตรีก็ย้อนคืนกลับมา ทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทราไม่กล้าพูดต่อ


           เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน(?) แสดงสีหน้าลำบากใจ และหันไปหาเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด "เอาไงดีล่ะ โคโตฮะ จะปิดบังไปก็ไม่ได้อะไรแล้วนะ"


           "เกิดเรื่องมากถึงขนาดนี้แล้วก็คงไม่มีเหตุผลให้ปิดบังอีกต่อไปแล้วล่ะ"


           "โอเค งั้นก็บอกไปคงไม่เป็นไรนะ" พอทั้งสองตกลงกันเสร็จ เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนก็หันมาคุยกับจันทรา
           "อา~จันทราจะพูดยังไงดีล่ะ ขอบอกก่อนว่าพวกเราน่ะไม่ใช่คนเลว ไม่ใช่คนที่คิดจะมาไล่ล่าสังหารเหล่าเจ้าหญิง แล้วก็ไม่ใช่พวกที่ฆ่าเจ้าหญิงทั้งสามคนนั้นด้วย ถึงพวกเราจะต้องปลอมตัวเป็นพวกนางเพื่อมาทำภารกิจที่นี่ก็ตามเถอะ"


           "ภารกิจ..?"


           "พวกเราคือนิวเจเนซิส เผ่าพันธุ์ชีวิตที่ถือเป็นตัวตนที่ขัดการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นสายพันธุ์ที่ไม่ได้อยู่ในบันทึกหรือข้อมูลใด ๆ ในโลกนี้" เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด(?)เล่า


           "..เอ๋ ?" บนใบหน้าของเจ้าหญิงแห่งจันทราเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เข้าใจ


           "โคโตฮะ~เล่าแบบนั้นแม้แต่ฉันเองก็งงเหมือนกันนะ"


           "อะ!" เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด(?)หน้าแดง "ขอโทษที"


           "ก็
      ~ถ้าจะอธิบายง่าย ๆ ก็คือพวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตแดนแห่งนี้ และแอบบุกรุกเข้ามานั่นล่ะ แต่กรณีพวกเราจะที่ไหนก็ถือว่าเป็นการบุกรุกล่ะนะ"


           "แล้วพวกคุณมาทำอะไรที่นี่หรือคะ ?"


           เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน(?)หันไปหาเจ้าหญิงเพลิงสีชาด(?)


           "พวกเราได้รับคำพยากรณ์ว่าที่นี่จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้น" เพลิงสีชาด(?)กล่าว "พวกเราจึงมาที่นี่เพื่อที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดเรื่องใดขึ้น"


           "ภัยพิบัติ ?"


           "ก็ถ้าให้เห็นชัด ๆ ก็เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี่ล่ะ ปราสาทถูกปิดล้อมด้วยพลังบางอย่าง ผู้คนในปราสาทหายตัวกันไปหมด เจ้าหญิงที่หลงเหลืออยู่กำลังถูกไล่ฆ่าด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด แต่ทั้งหมดนั่นก็คงเป็นเพียงฉากหน้าเพื่อบรรลุแผนการของพวกมันล่ะนะ" ภาพสะท้อน(?)บอก


           "พวกมัน ?"


           "ที่พวกเราคาดคะเนไว้มีอยู่สองเผ่าพันธุ์ที่ทำเช่นนี้ได้ นั่นคือปีศาจ เป็นพวกที่มาลอบสังหารพวกเธอในงานเลี้ยงแล้วเอเลนามาป้องกันไว้นั่นล่ะ ก่อนหน้านี้พวกนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นตัวการ"


           "และอีกหนึ่งที่พวกเราไม่อยากให้เป็นความจริงที่สุด นั่นก็คือผู้ไม่สมบูรณ์ แต่จากลักษณะวิธีการแล้ว ก็ใกล้เคียงกับวิธีของพวกมันมากจริง ๆ"


           "โคโตฮะ.." เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อนส่งเสียงเรียกอีกครั้ง เพราะตอนนี้เจ้าหญิงแห่งจันทราได้แต่งงเป็นครั้งที่สอง


           "ขอโทษ.." โคโตฮะส่งเสียงแผ่วเบา


           "ก็
      ~ถ้าให้พูดง่าย ๆ ก็คือ ตัวการของเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคือคนที่มาลอบสังหารเหล่าเจ้าหญิงบนเวที สองคือมือที่สามที่แอบอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ ถ้าแย่สุดก็คือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากทั้งสองฝ่ายนั้นเลยล่ะนะ"


           "งั้นหรือคะ..สุดท้ายแล้วเรื่องคำสาปรองเท้าแก้วก็เป็นแค่เรื่องโกหกจริง ๆ หรือคะ" เจ้าหญิงแห่งจันทรารู้สึกผิดหวังจนแสดงออกมาทางสีหน้า


           "วางใจได้ พวกเราน่ะเป็นมิตรของพวกเธอ และฉันเองก็เป็นเพื่อนของเธอไม่ใช่รึไง" ภาพสะท้อนส่งยิ้มให้กับจันทราพร้อมยื่นมือให้
           "ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง ฉันโทโคโระ เมกุมิ ถึงจะไม่สามารถบอกชื่อได้ด้วยเหตุผลของอาณาจักรแต่ว่าแค่นี้พวกเราก็เป็นเพื่อนกันจริง ๆ แล้วล่ะนะ"


           "..ค..ค่ะ" จันทราจับมือของเมกุมิแล้วลุกขึ้นยืน


           "อ่อ แล้วเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาดท่านนี้ก็.."


           "ทานากะ โคโตฮะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณเจ้าหญิงแห่งจันทรา" โคโตฮะชิงแนะนำตัวตัดหน้า


           "ค..ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" เพราะโคโตฮะถอนสายบัวแนะนำตัวทำให้จันทราเผลอทำตามไปด้วย


           "งั้นก็ไปกันเถอะ พวกเราคงต้องรีบกันหน่อยแล้ว" เมกุมิว่า


           "รีบไปไหนกันหรือคะ ?"


           "พวกเราจะไปตามหาพวกพ้องของเราอีกคนที่อยู่ภายในปราสาทนี้น่ะค่ะ จำเจ้าหญิงแห่งมรกตได้รึเปล่าคะ ?"


           "เจ้าหญิงแห่งมรกต.." จันทรานึกถึงตอนลอบยิง เจ้าหญิงแห่งมรกตที่ออกตัวมาป้องกันกระสุนเพลิงนั้นไว้และกระโดดออกไปรับมือกับมือสังหาร ด้วยพลังแบบนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเจ้าหญิงได้อย่างแน่นอน และจันทราเองก็พอจะมีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากเกินพอแล้วด้วย


           "ถ้าทามากิ หรือมิยะมาด้วยน่าจะหาได้ง่ายกว่านี้แท้ ๆ เลยน้า
      ~" เมกุมิบ่น


           "ภารกิจนี้ยิ่งคนน้อยยิ่งดีนะคะ ยิ่งเป็นการบุกรุกเข้าพื้นที่เช่นนี้การแฝงตัวเป็นเรื่องจำเป็นค่ะ"


           "แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่านี่"


           พูดเสร็จโคโตฮะก็ฟาดหัวของเมกุมิไปครั้งหนึ่งก่อนที่จะหันกลับแล้วเดินนำไป "เอาล่ะค่ะ ไปกันได้แล้ว"


           "แหม
      ~โคโตฮะเวลางอนนี่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมเลยน้า~"


           "แฮะ ๆ" เจ้าหญิงแห่งจันทราที่ได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศที่ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็รู้สึกไม่คุ้นเคย ราวกับไม่ได้สัมผัสความรู้สึกนี้มานานแสนนาน ทั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง


          ระหว่างที่ทั้งสามคนเดินออกตามหาทางขึ้นไปจากทางระบายน้ำแห่งนี้ เจ้าหญิงแห่งจันทราก็มีท่าทีลอกแลก มองมาที่เมกุมิแล้วหันออก มองมาที่เมกุมิแล้วหันออก สลับกันไปมา


           "เอ
      ~จันทรามีอะไรจะพูดรึเปล่า ?"


           "อะ..เอ๊ะ คือว่า ป..เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร" 


           "ไม่ต้องเกรงใจถามมาได้เลย"


           "ค..คือว่า เจ้าหญิงแห่-"


           "สต๊อป ตรงนั้นขอเถอะ ฉันอยากให้เพื่อนฉันเรียกฉันด้วยชื่อจริง ๆ มากกว่าฉายานะ" เมกุมิยกมือขึ้นหยุด และบอกกับจันทรา
           "เรียกฉันว่า เมกุมิ เถอะ"


           "ค..ค่ะ เม..กุมิ เมกุมิตอนนั้นน่ะ..ทำอย่างไรถึงหนีออกมาได้หรือ ?"


           "ตอนนั้น ?" เมกุมิคิด จำได้ว่าล่าสุดก่อนที่จะจากกันเธอกำลังจะถูกผนังหินอัดบีบ และพูดเหมือนกำลังจะบอกลาเจ้าหญิงแห่งจันทรา


           "อ๋อ ตอนนั้น ขอโทษที พอดีรู้สึกอยากทำเท่ขึ้นมาน่ะ แต่จริง ๆ แล้วฉันก็พังพื้นแล้วตกลงมาที่ทางระบายน้ำแล้วสลบไปยาว จนตื่นมาแล้วก็ค่อยมาเจอกับจันทราที่กำลังถูกกิ้งก่าตัวนั้นหลอกอยู่นั่นล่ะ"


           "ฉันเป็นห่วงรู้ไหม..คราวหน้าช่วยอย่าทำแบบนั้นอีกจะได้รึเปล่า.." เจ้าหญิงแห่งจันทราแสดงสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ ทำเอาเมกุมิถึงกับอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก


           "ว้า
      ~อย่าเอาจุดอ่อนฉันมาใช้สิ โอเค โอเค ขอโทษ ขอโทษ คราวหน้าจะไม่ทำอีกแล้วค่ะ"


           ท่าทีของเมกุมิทำให้จันทราหัวเราะออก พลางให้เธอหัวเราะไปด้วย


           "จะว่าไปเมกุมินี่หอมจังเลยนะ" เจ้าหญิงแห่งจันทราได้กลิ่นหอมที่มาจากหญิงสาว "ทั้งที่ตกลงไปในท่อน้ำทิ้งแบบนั้น"


           "อ๋อ นี่น่ะหรือ พอดีฉันมีของดีน่ะ" เมกุมิหยิบขวดน้ำหอมสีทองขึ้นมาอย่างภาคภูมิ
           "แต่นแต้น! นี่คือน้ำหอมสูตรพิเศษของโทโคโระ เมกุมิเอง เพียงฉีดครั้งเดียวสามารถทำให้กลิ่นไปพึงประสงค์หายไปอย่างปลิดทิ้งแน่นอน เติมเต็มด้วยกลิ่นของหญิงสาวยังไงล่ะ"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรานึกไปถึงแต่ละครั้งของเมกุมิ เธอจะต้องมีเครื่องสำอางติดตัวอยู่เสมอเพื่อไว้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งแต่งหน้า หรืออุปกรณ์สำคัญในการแก้ปริศนาบางอย่าง แถมสิ่งนั้นยังมาใช้เป็นอาวุธที่อันตรายได้อีก สรุปแล้วของพวกนี้มีไว้ทำอะไรกันแน่


           "เดี๋ยวฉันลองให้จันทรายืมดูนะ รับรองเลยว่าต้องถูกใจแน่นอน"


           "อืม ขอบใจนะ" เจ้าหญิงแห่งจันทรายิ้มรับ
           "ที่เมกุมิ ดู อลักา-เจ้าสิ่งนั้นออกก็เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้น่ะหรือ ?"


           "ใช่ กระจกของฉันน่ะมีความสามารถในการมองผ่านภาพลวงตาของสิ่งที่ส่องอยู่ได้ยังไงล่ะ พอดีสิ่งที่เจ้ากิ้งก่านั่นใช้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ แต่เป็นการลวงด้วยสิ่งที่เห็นเป็นภาพและเสียงที่ได้ยินเท่านั้น เลยเข้าทางของฉันพอดี"


           "แต่ว่านะจันทรา เรื่องที่เธอพูดเมื่อก่อนหน้านี้ที่บอกว่า คำสาปอะไรนี่ล่ะ นั่นคืออะไรรึ ?"


           "เรื่องนั้น.."


           เจ้าหญิงแห่งจันทราทำท่าลำบากใจที่จะเล่าอยู่บ้าง แต่สุดท้ายนางก็เล่าทุกอย่างที่นางรู้ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไป รวมถึงความเชื่อที่นางเคยเชื่อว่าคำสาปนี้ล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น แต่ทุกอย่างดูจะไม่เป็นแบบนั้น


           "เรื่องนั้นก็ไม่แน่ค่ะ" เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาดที่เดินนำอยู่เหมือนจะได้ยินที่เล่าจึงพูดขึ้น


           "?"


           "บางทีพวกที่อยู่เบื้องหลังอาจจะใช้ประโยชน์จากคำสาปที่ดั้งเดิมมีอยู่แล้วมาเป้นประโยชน์ เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายของตัวเองก็เป็นได้ บางทีที่คำพยากรณ์กล่าวว่าที่นี่จะเกิดภัยพิบัติขึ้น อาจจะไม่ได้มาจากการเข้ามาของเหล่าผู้บุรุก แต่เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเขตแดนแห่งนี้ก็เป็นได้"


           "แล้วก็..ตอนที่พวกเรามาถึงเจ้าหญิงทั้งสามก็อยู่ในสภาพนั้นเสียแล้ว สิ่งที่พวกเราทำได้ก็มีแต่ต้องแฝงตัวเข้ามาด้วยภาพลักษณ์ของทั้งสามเท่านั้น เพื่อไม่ให้เลวร้ายไปมากกว่-!?"


           "โคโตฮะ!" เมกุมิกระโดดเข้ากอดเพื่อนของเธอจากด้านหลัง


           "ม..เมกุมิ!? จู่ ๆ ทำอะ-"


           "ก็แหม
      ~โคโตฮะในที่สุดก็พูดอะไรที่เข้าใจง่ายและให้กำลังใจคนอื่นเป็นแล้วน่ะสิ"


           "ร..เรื่องนั้นใคร ๆ ก็ทำได้น่ะ แล้วก็ออกไปได้แล้ว" โคโตฮะออกแรงเพื่อผลักเมกุมิออกไปจากตัวเธอ


           "คุณโคโตฮะคะ ขอบคุณนะคะ" คำขอบคุณของเจ้าหญิงแห่งจันทราทำให้โคโตฮะหน้าแดง


           "อะ มาถึงทางออกแล้วมั้ง" เมกุมิสังเกตเห็นบันไดทางขึ้นอยู่ริมผนัง
           "ตรงส่วนนี้คงจะเป็นปราสาทส่วนตะวันตกที่เห็นเอเลนาครั้งล่าสุดสินะ"


           "ใช่"


           "ถ้าตื่นแล้วแต่ยังไม่ไปไหนก็น่าจะดีอยู่หรอกนะ"


           ทั้งสามเดินขึ้นบันไดไป ระหว่างนั้นจันทราก็ถามเมกุมิอีกว่า


           "คุณเอเลนาก็เป็นเพื่อนของทั้งสองคนสินะคะ"


           "ใช่ เพื่อนคนสำคัญด้วย แต่ว่าถ้าพูดถึงเรื่องความสามารถล่ะก็คนละระดับกันเลยล่ะ"


           "ความสามารถ ?"


           "เอเลนาน่ะ" โคโตฮะพูดขึ้น "มีพลังมากกว่าที่ฉันกับเมกุมิมีรวมกันเสียอีก เพราะว่าเป็นผู้ถูกเลือกล่ะนะ"


           พอพูดเสร็จจันทราก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ และทั้งสามก็มาถึงประตูที่จะเปิดออกไปยังห้องใดก็ไม่ทราบ


           "เตรียมพร้อมนะ พวกเราไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง" โคโตฮะบอก


           "อา! เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะ" เมกุมิหยิบเครื่องสำอางมาเตรียมพร้อม



           เจ้าหญิงแห่งจันทรากลืนน้ำลาย และรวบรวมความกล้าที่จะไปพร้อมกับทั้งสองคน


           และพวกเธอทั้งสามก็เปิดประตูออกไป พวกเธอก็มาพบกับห้อง..


           ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ได้ยินเสียงน้ำที่ไหลมาจากเสา มองเห็นรอบข้างได้ไม่ชัดเพราะห้องเต็มไปด้วยหมอกไอน้ำ ตรงกลางห้องมีสระน้ำที่พอจะลงไปได้กว่าห้าสิบคน ทุกอย่างถูกตรงแต่งอย่างประณีตด้วยลวดลายที่สวยงาม ที่นี่คือห้องอาบน้ำของปราสาทธริษตรี



           "ทางลับท่อน้ำทิ้งก็ควรจะกับห้องนี้สินะคะ" เจ้าหญิงแห่งจันทราพูด


           "ยินดีต้อนรับเหล่าสหายอันเป็นทีรักของข้า ขอต้อนรับสู่สวรรค์จำแลงแห่งเหล่าสตรี ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะสามารถมาถึงยัง ณ ที่แห่งนี้ได้โดยสวัสดิภาพ" เสียงลึกลับดังก้องไปทั่วทั้งห้องอาบน้ำ ทั้งสามมองหาเจ้าของเสียงนั้น


           "ตรงนั้นมีคนอยู่ด้วยค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทรามองเห็นเงาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมอก


           "สายันต์สวัสเหล่าสหายเจ้าหญิงอันเป็นเป็นที่รัก เพราะสิ่งที่โหดร้ายถึงทำให้พวกเราต้องแยกจาก แต่โชคชะตาก็ยังนำพาให้กลับมาพบกัน ณ ที่นี้.." หมอกควันเริ่มจางลงทำให้มองเห็นนางได้อย่างชัดเจน "..พระผู้เป็นเจ้ายังคงไม่ทอดทิ้งพวกเรา และช่วยคุ้มครองพวกเราจากสิ่งร้าย ๆ ทั้งปวงเป็นแน่แท้"


           "เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล!?"


           "พวกเราทั้งสามต่างเฝ้าคอยการมาถึงของมิตรสหายมาโดยตลอด แต่ไม่คาดคิดเลยว่า พวกเจ้าจะมาด้วยเส้นทางที่ช่างพิสดารถึงเพียงนี้"


           "พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจินทราบอก


           "ทั้งสาม ? แล้วอีกสองคนล่ะ" เมกุมิถาม รัตติกาลชี้นิ้วไปทางซ้าย พวกเธอหันหน้าตามก็พบกับเจ้าหญิงผมสีเงินกำลังช่วยดูแลเจ้าหญิงผมสีเขียวที่กำลังหลับใหลอยู่


           "นั่นเจ้าหญิงแห่งดวงดาว กับ.."


           "เอเลนา!!"


           สองเสียงที่ผสานกันอย่างประหลาดใจ
           ในที่สุดเหล่าตัวตนผู้ขัดต่อผู้สถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ก็กลับมาพบกันอีกครั้ง



















           "อา! นี่พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่!?"


           เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมร้อง นางปิดหนังสือในมือลงพร้อมวางลงบนกองหนังสือมากมายที่อยู่รอบตัวเธอ ข้าง ๆ เธอมีเจ้าหญิงแห่งหอคอยกำลังอ่านหนังสืออยู่อย่างขะมักเขม้น


           "เจ้าหญิง อ่านหนังสือพวกนี้ไปแล้วจะไปได้อะไรล่ะ ?"


           ยุติธรรมร้องหาเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงที่กำลังยืนอ่านหนังสืออยู่อย่างสงบเสงี่ยมข้าง ๆ ชั้นวางหนังสือส่วนตัวของเจ้าหญิงแห่งธริษตรี


           "ที่นี่เป็นห้องหนังสือของเจ้าหญิงแห่งธริษตรี เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าน่าจะมีข้อมูลสำคัญ ๆ ของเจ้าหญิงหลงเหลืออยู่บ้าง"


           "แต่ถึงงั้นก็เถอะ หนังสือในห้องนี้ก็มีตั้งพันกว่าเล่มเลยนะ"


           "ยังน้อยกว่าข้างนอกตั้งหลายเท่า อดทนแล้วหาต่อไปเถอะ เวลาของพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะมีอีกนานเท่าไรด้วย" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงเก็บหนังสือที่อ่านกลับไปที่ชั้นแล้วหยิบหนังสือเล่มต่อไปออกมาอ่านต่อ


           "เฮ้อ ก็ได้ ๆ" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมกลับไปอ่านต่ออย่างจำใจ โดยนางเลือกอ่านจากการอ่านหน้าปกก่อน
            " '..ความจริง' , 'ปาฏิหารย์แห่งพลัง' , 'ไตรดารา' ที่นี่มีแต่พวกหนังสือชื่อแปลก ๆ ทั้งนั้นเลยนะ 'นพสัมบูรณ์' , 'วาตะเสน่หา' , "คำร้องข-"


           "นั่นล่ะ!"


           "ฮะ!?" ทันทีที่เจ้าหญิงส่งเสียงยุติธรรมธรรมก็หยุดชะงัก "ที่จะเอาคือ คำร้องข-"



           "ไม่ใช่ เล่มก่อนหน้านี้"


           "วาตะเสน่หา ?" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมหยิบหนังสือเล่มที่ว่ากลับมาอยู่ในมือ ทันใดนั้นเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงก็รีบเดินเข้ามาคว้าไปจากเธอ
           "เจ้าหญิง หนังสือเล่มนั้นพิเศษว่าเล่มอื่นตรงไหน ?"


           "ยุติธรรม หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกที่ถูกประพันธ์โดยเจ้าหญิงแห่งธริษตรีรุ่นนี้ และเป็นหนังสือที่ได้รับการยอมรับว่า ดีที่สุด ในบรรดาทุกรุ่นของหนังสือของเจ้าหญิงแห่งธริษตรี"


           "เจ้าหญิงอยากจะอ่านหนังสือรุ่นต้นแบบเฉย ๆ ใช่ไหม ?"


           "ผิดแล้ว หนังสือฉบับที่ถูกส่งสู่อาณาจักรหรือเขตแดนอื่น ๆ นั้นดูเหมือนจะไม่ใช่ฉบับที่เต็มร้อยสมบูรณ์ เพราะทุก ๆ ครั้งที่ฉันได้อ่าน จะรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างขาดหายไปเสมอ แต่ถ้าเป็นรุ่นต้นแบบนี่ล่ะก็.."


           เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงเปิดไปยังหน้าหนึ่งของหนังสือ ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นมา


           "เป็นแบบนี้เองงั้นรึ"


           "เจ้าหญิง ?" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมและเจ้าหญิงแห่งหอคอยต่างหันไปหาเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง


           "คงจะต้องอยู่ที่นี่อีกสักพัก ยุติธรรม หอคอย ฉันขอยืมแรงพวกเธอหน่อย" เจ้าหญิงเอ่ยปาก แล้วโชว์ส่วนหน้านั้นของหนังสือให้เจ้าหญิงทั้งสองเห็น "พวกเราจะต้องไขปริศนาของ คำสาปแห่งรองเท้าแก้วให้ได้"














           "รีเจ็กซ์ชัน(ปฏิกิริยาต่อต้าน)"


           "เอ๋ ?"


           โคโตฮะเถิกเปิดแขนเสื้อของหญิงสาวผมสีเขียวที่สลบอยู่ดู แล้วมองเห็นเส้นเลือดสีดำลากยาวเข้าไปในร่างกาย


           "นิวเจเนซิสเป็นสิ่งมีชีวิตที่แต่เดิมเคยเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งมาก่อน จากนั้นเมื่อถึงเวลาเผ่าพันธุ์นั้นก็จะถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นนิวเจเนซิสนี้ โดยที่จะคงความสามารถหรือรูปลักษณ์ของเผ่าพันธุ์เดิมไว้บางส่วน ทว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย บางครั้งจะมีปฏิกิริยาต่อต้านออกมาเป็นระยะ ๆ และจะเกิดมากเป็นพิเศษกับผู้ถูกเลือกแบบเอเลนา ยิ่งถ้าใช้พลังไปมากขนาดนั้นแล้วด้วย"


           "เพราะปฏิกิริยาต่อต้านนั้นถึงทำให้เจ้าหญิงแห่งมรกต ไม่สิ คุณเอเลนาไม่ฟื้นขึ้นมาเสียทีหรือคะ ?" เจ้าหญิงแห่งดวงดาราถาม


           "ก็ประมาณนั้นล่ะ พวกเราเองก็เคยเป็นและมันทรมาณมาก ๆ เลยนะ หลับไปยังจะดีเสียกว่าเลย" เมกุมิว่า


           "แต่บางทีความเจ็บปวดก็เข้าไปในความฝันและทำให้รู้สึกเหมือนกับตกนรกได้เหมือนกัน"


           "เรื่องนั้นก็จริงนะ" ทั้งสองแสดงสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้เหล่าเจ้าหญิงพอจะเข้าใจถึงความทรมาณขออาการนี้อยู่บ้าง


           "แต่ตอนนี้อาการบรรเทาลงมากแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงจะตื่นขึ้นแล้วล่ะค่ะ"


           "โล่งอกไปที" เจ้าหญิงแห่งดวงดาราถอนหายใจ "งั้นเดี๋ยวฉันจะไปตักน้ำมาให้นะคะ"


           "ให้ฉันช่วยไหมคะ ?" เจ้าหญิงแห่งจันทราเสนอตัว


           "ไม่เป็นไรค่ะ เจ้าหญิงแห่งจันทราเพิ่งมาถึงเหนื่อย แล้วตรงนี้ฉันเองก็ช่วยดูแลเจ้าหญิงแห่งมรกตมาตลอดอยู่แล้วด้วย" เจ้าหญิงผมสีเงินกล่าว และเดินไปพร้อมถังน้ำขนาดเล็กเพื่อไปเติมน้ำอุ่น


           "เหล่าตัวตนผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย ตัวข้านั้นมีเรื่องสงสัยประการหนึ่ง ?"


           "มีอะไรหรือคะ เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล ?"


           "ความหมายของชื่อเผ่าพันธุ์พิเศษของพวกท่านนั้น เป็นอย่างที่ตัวรายนามเองเป็นอยู่แล้วหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกจารึกไว้ในตำนานเพียงเท่านั้น"


           "ความหมายของตัวคนผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้างั้นสินะ" เมกุมิทวนให้เข้าใจ


           "ก็..คงตอบไม่ได้ชัดเจนนักหรอกค่ะ ความสัมพันธุ์ระหว่างเผ่าพันธุ์เรากับเหล่าผู้อยู่บนสรวงสวรรค์ก็เป็นอย่างที่ความหมายของชื่อบอกนั่นล่ะค่ะ ต่างฝ่ายต่างมีการคงอยู่ของชีวิตตนเอง แต่ไม่อาจให้อีกฝ่ายคงอยู่ในโลกเดียวกันได้ ถึงจะยังไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางที่ชัดเจนนัก แต่ไม่แน่ว่าในอนาคต..อาจจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างพวกเขากับพวกเราก็เป็นได้" โคโตฮะตอบตามจริง


           เจ้าหญิงแห่งจันทราที่ฟังอยู่เหงื่อตก แต่ก็ไม่สามารถจะพูดอะไรได้


           ขณะที่เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลหลับตาลงเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผู้ปลอมเป็นเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาดต้องการจะสื่อแล้ว


           "ถึงตัวข้าจะมอบชีวิตและจิตวิญญาณนี้ให้กับผู้ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ไปครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ว่า ตัวข้าก็จะไม่มีการตัดสินชีวิตอื่นว่าไม่มีความเท่าเทียมหรือแปลกแยกอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้ใด มาจากหนไหน บัดนี้พวกเจ้าเป็นสหายของรัตติกาลผู้นี้แล้ว" 


           "ขอบพระคุณในไมตรีค่ะ"


           "ขอบใจน้า~รัตติกาล"


           จันทราที่เห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่งยังคงดีต่อกันอยู่ก็โล่งอก 



           แต่ว่าตอนนั้นเอง ที่สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นใครบางคน


           ท่ามกลางหมอกละอองไอน้ำที่ลอยฟุ้งไปทั่ว ปรากฏเงาของใครบางคนที่คุ้นตายิ่งนัก


           สตรีในชุดราตรีสีเขียวใบไม้ ความงามที่หาผู้มาเปรียบได้ยากยิ่ง รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและความเมตตา แต่ให้ความรู้สึกที่เข็มแข็งและเด็ดเดี่ยในเวลาเดียวกัน


           เจ้าหญิงแห่งจันทราได้แต่มองด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตนเอง


           นางผู้นั้นจะไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว นางผู้นั้นคือสตรีคนแรกที่เป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของเหตุการณ์ในครั้งนี้ เจ้าหญิงผู้ถูกสังเวยให้กับคำสาปรองเท้าแก้ว


           "..เจ้าหญิงแห่งธริษตรี..!?" จันทราพึมพำชื่อนั้นออกมาโดยที่ไม่มีใครได้ยิน 


           เจ้าหญิงสีเขียวหันหลังกลับและหายเข้าไปในละอองน้ำที่ฟุ้งแน่น


           "เดี๋ยวก่อนสิคะ!" ขาของเจ้าหญิงแห่งจันทราออกวิ่งตามนางไป


           "จันทราจะไปไหนน่ะ ?" ก่อนที่เมกุมิจะถามเสร็จเจ้าหญิงแห่งจันทราก็หายไปในไอน้ำเสียแล้ว


           "ไปไหนของนางกันน่ะ ?"


           "เมกุมิ รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ รึเปล่า" โคโตฮะที่หัมาตามเสียงของเมกุมิ สังเกตบางอย่างได้


           "บางอย่างแปลก ๆ ?" เมกุมิคิดตามที่โคโตฮะบอก เธอทอดสายตาออกไปมองรอบ ๆ แต่ว่าไม่ว่าทางไหนก็พบว่ามีแต่หมอกไอน้ำปกคลุมไปทั่วทุกที่เท่านั้น แต่ว่าที่แปลกคือ..


           "หมอกเยอะเกินไปรึเปล่า"


           ก่อนหน้านี้หมอกไอน้ำนั้นอาจจะมีเยอะ แต่ว่ายังไม่ได้มากถึงขนาดนี้ อย่างมากก็แค่บริเวณสระอาบน้ำ แต่ตอนนี้หมอกไอน้ำเกือบจะปกคลุมไปทั้งห้อง


           "อาจจะมีหนึ่งในพวกมันมาอยู่ในห้องนี้แล้วก็ได้" โคโตฮะคิด


           "แย่ล่ะสิ เจ้าหญิงแห่งจันทรากับเจ้าหญิงแห่งดวงดาวเข้าไปในหมอกนั่น"


           "คงต้องรีบออกตามหาแล้วล่ะ" โคโตฮะสรุปแล้วบอกกับเจ้าหญิงแห่งรัตติกาลให้รออยู่ที่นี่ไว้ ส่วนตัวเองกับเมกุมิแยกกันไปตามหาเจ้าหญิงทั้งสองนาง


           "เจ้าหญิงแห่งจันทรา เจ้าหญิงแห่งดวงดาราคะ!"


           "จันทรา ดวงดารา อยู่ที่ไหนกัน!?"


           สองเสียงดังสลับกันไปมาภายในหมอกสีขาว ทั้ง ๆ ที่ห้องอาบน้ำที่นี่นั้นดูเหมือนจะไม่ใหญ่มาก แต่ความรู้สึกของพวกเธอราวกับเดินอยู่ในเขาวงกต


           เดินตามหามาได้ร่วมสามนาที แต่ก็ยังไม่เจอพวกนางแม้แต่คนเดียว


           "เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ.." โคโตฮะสูดหายใจดมกลิ่นของหมอกรอบกายเข้าไป ทำให้เธอรู้สึกถึงบางอย่าง


           ดวงตาของเธอเบิกโพลงอย่างกระทันหัน "กลิ่นแบบนี้มัน..หรือว่า!?"






           ทางเมกุมิที่มาหาอีกทาง ในที่สุดก็มาเจอเงาของใครบางคน


           "ผมสั้นสีเงิน..เจ้าหญิงแห่งดวงดารา ?"


           เธอรีบเข้าไปหาและส่งเสียงเรียก "ดวงดารา ไม่เป็นไรใช่ไหม ?"


           "ทำไม..?"


           "?"


           "ทำไมถึงต้องฆ่าเจ้าหญิงแห่งปัญญาด้วย!" เจ้าหญิงแห่งดวงดาราหันกลับมาพร้อมสาดน้ำใส่เมกุมิที่ไม่ได้ตั้งตัวทำในสายตาเธอพร่ามัว


           จากนั้นก็ตามเข้าไปตีใส่ด้วยถึงเหล็กในมือ ถังฟาดเข้าศีรษะของเมกุมิเต็ม ๆ แต่เธอไม่เป็นไร ในขณะที่ถังนั้นถึงกับบุบไปตามรอยหัว


           ดวงดาราทิ้งของในมือแล้วพุ่งเข้ามาจับที่คอของเมกุมิ


           "เป็นอะไรไปน่ะ ดวงดารา ฉันไม่ใช่ศัตรูนะ" ถึงจะโดนบีบคออยู่แต่เหมือนว่าพลังกายของเจ้าหญิงแห่งดวงดารา จะทำอะไรนิวเจเนซิสอย่างเมกุมิไม่ได้เลย


           เมกุมิมองเข้าไปในดวงตาของเจ้าหญิง ตาของนางเหลือกหลักจนเส้นเลือดแทบจะทะลักออกมา น้ำลายไหลมาไม่หยุดราวกับไม่มีสติ ตอนนี้สภาพของนางผิดไปกับนางตามปกติราวฟ้ากับเหว


           "ขอโทษนะ" เมื่อไม่มีทางเลือก เพื่อทำให้ดวงดาราสงบลง เมกุมิจำต้องฟาดฝ่ามือเข้าไปที่ซอกคอเพื่อทำให้นางสลบไป


           "เมกุมิ!" โคโตฮะวิ่งเข้ามา "เกิดอะไรขึ้น ฉันได้ยินเสียงของเจ้าหญิงแห่งดวงดารา แล้วนั่น.."


           "จู่ ๆ นางก็คลุ้มคลั่งขึ้นมาน่ะสิ" เมกุมิอุ้มเจ้าหญิงแห่งดงดาราขึ้นมาแบกไว้บนไหล่แบบสบาย ๆ "โคโตฮะนี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจะเกี่ยวกับหมอกนี่ ?"


           "นี่ไม่ใช่หมอก นี่มันสารเสพติดชนิดผสม มีฤทธิ์ในการกดประสาท กระตุ้นประสาทและหลอนประสาทในเวลาเดียวกัน"


           "ว่าไงนะ!?"


           "พวกเราที่เป็นนิวเจเนซิสน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าหญิง..เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลเองก็กำลังเป็นอันตราย!" โคโตฮะฉุกคิดได้ว่าหมอกสารเสพติดนี่กำลังแพร่ไปทั่วทั้งห้อง และตอนที่เข้ามาหมอกก็ใกล้จะคลุมไปส่วนที่เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลอยู่เสียแล้ว


           "แต่เจ้าหญิงแห่งจันทราเองก็.." เมกุมิรู้สึกเป็นห่วงอีกด้านหนึ่งอีกเช่นกัน


           "!?"


           ทันใดนั้นก็เกิดบางอย่างขึ้น


           หมอกที่ลอยฟุ้งไปมาอย่างช้า ๆ นั้น ค่อย ๆ ขยับเร็วขึ้น


           รู้สึกถึงบางอย่างที่เข้ามาแทรกระหว่างหมอกเหล่านั้น


           สายลมที่พัดโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไร้วี่แวว


           "ลม ?"


           "ลมแบบนี้ เอเลนา!?"


           ทันใดนั้นหมอกรอบข้างต่างก็ถูกลมพายุพัดพาไป สายหมอกหมุนวนเป็นวงกลมเหมือนก้นหอย ลมปรากฏคล้ายเป็นรูปร่างแทรกอยู่ระหว่างกัน 


           กระแสพายุที่รุนแรง แม้แต่คลื่นน้ำยังสั่นไหว ข้างของภายในห้องต่างก็ล้มระเนระนาด แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อลมได้นำพาหมอกออกไปจนหมดสิ้น


           เมื่อไม่มีหมอก ก็สามารถมองเห็นทุกอย่างในห้องได้อย่างชัดเจน


           เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลอยู่สุดของห้อง พร้อมกับ..


           หญิงสาวผมยาวสีเขียวอ่อน มือกำหอกแน่นทั้งสองมือ เธอเพิ่งจัดการกับหมอกที่กล้ำกลายเข้ามาด้วยหลังของเธอ
           เธอลืมตาขึ้น นันย์ตาสีฟ้าอ่อนเรืองแสงสะท้อนกับความมืดมิด ในที่สุดเธอก็ตื่นจากนิทราแล้ว


           หอกกลายเป็นละอองแสงแล้วซึบซับเข้าไปในร่างกายของเธอ


           นิวเจเนซิสสองคนกลับมาหาเธอที่กำลังยืนนิ่ง..


           "โคโตฮะ เมกุมิ!" หญิงสาวผมสีเขียวโผเข้ากอดเพื่อนทั้งสองของเธอแบบกระทันหัน ทำเอาทั้งคู่ล้มลงสระอาบน้ำไปกันทั้งสามคน รวมถึงเจ้าหญิงแห่งดวงดาราที่สลบอยู่ด้วย


           "เอเลนาทำอะไรน่ะ เปียกหมดแล้วนะ"


           "ฮ่า ๆ ๆ แต่แบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นเอเลนาล่ะนะ"


           "ขอโทษนะ ที่ทำให้รอ แต่ตอนนี้ชิมาบาระ เอเลนาฟื้นกลับมาเต็มร้อยแล้วค่ะ พร้อมปฏิบัติงานเต็มที่" เธอพูดน้ำเสียงที่ร่าเริงและยกมือขึ้นทำวันทยาหัตถ์


           "เหล่ามิตรสหายต่างแดนเอ๋ย ข้าทราบถึงความยินดีของพวกเจ้าแต่ว่าจะเป็นอะไรหรือไม่หากท่านช่วยห่วงพ้องมิตรของข้าเสียก่อน" เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลบอก


           "เออ นั่นสินะ" เมกุมิออกจากแขนของเอเลนาแล้วเข้าไปดูอาการของเจ้าหญิงแห่งดวงดารา ซึ่งก็พบว่าเธอตื่นแล้วแต่..


           "ฮะ ๆ ๆ ที่นี่ที่ไหน ฉันเป็นใคร เจ้าหญิงแห่งปัญญาอยู่ไหน ฉันเป็นใคร ทำไมเห็นดาวเต็มไปหมดเลย ฉันเป็นใคร ที่นี่คือสวรรค์หรือ ทำไมรู้สึกเย็นแบบเป็นสุขแบบนี้ ฉันเป็นใคร..ฯ"


           "อาการยังไม่หายขาด ยังคงมีผลของสารเสพติดอยู่"


           "เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลไม่เป็นไรสินะคะ" โคโตฮะถาม


           "ใช่ เจ้าหญิงแห่งมรกต ไม่สิ สหายผู้หลับใหลของเหล่าผู้ขัดต่อพระเจ้าได้ตื่นขึ้นพร้อมวายุที่สะบัดเป่าทุกความชั่วร้ายออกไปจนหมดสิ้น ทำให้ตัวข้ามิได้รับอันตรายใด ๆ"


           "แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นรึ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่ห้องนี้ได้ล่ะ แล้วที่นี่ก็ปราสาทแห่งธริษตรีนี่ แต่ทำไมถึงมืดแบบนี้ล่ะ" เอเถาม เพราะเธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยระหว่างที่หลับอยู่ จนถึงเพิ่งตื่นเมื่อสักครู่แล้วทำการปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณ


           "อืม นั่นสินะ จะเริ่มเล่าตรงไหนดี"


           "เดี๋ยวสิ จันทราไม่อยู่ที่นี่!?"


           "เอ๊ะ!?"


           โคโตฮะและเมกุมิมองหาไปรอบ ๆ อย่างกระวนกระวายใจ เข้าหญิงแห่งรัตติกาลก็มองดูอย่างเยือกเย็น ส่วนเอเลนาไม่รู้เรื่องว่าพวกเธอหาอะไรกันอยู่ สุดปลายห้องก็มีแต่ชั้นแต่งหน้าที่ล้มและหกจนดูเละเทะ รอบข้างก็ไม่มีวี่แววของเธอเลย


           ในที่สุดก็ได้บทสรุปว่า..


           ..เจ้าหญิงแห่งจันทราไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว..














           ความมืด..

           ทุกอย่างช่างมืดสนิท..

           นี่เรากำลังฝันอยู่อย่างงั้นหรือ..

           วันนี้เราหลับมากี่รอบแล้วกันนะ..

           ความมืดมิดที่ไร้ทิศทางหรือสิ่งใด..

           ทำให้รู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยว..

           นี่คือโลกที่ถูกย้อมไปด้วยสีดำ..


           สีขาว..

           สีขาวเพียงหนึ่งเดียวภายในความมืดมิด..

           แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ ณ ตรงนั้น..

           แต่นั่นไม่ใช่แสง แต่เป็นสิ่งมีชีวิต..

           เจ้าสิ่งนั้นราวกับเคยเห้นที่ไหนมาก่อน..

           ตัวสีขาวร่างเล็ก มีโบสีขาวผูกติดอยู่บนหลัง..

           สิ่งมีชีวิตสีขาที่ช่วยนำทางเราไปพบกับเจ้าหญิงแห่งสุริยัน..


           แมว..

           แมวตัวนั้นกำลังเดินไป..

           เดินไปที่ไหนสักแห่งในความว่างเปล่า..

           แล้วมันก็หยุดพร้อมหันกลับมา..

           ราวกับต้องการจะนำทางให้เราไป..

           เราจะต้อง..ก้าวขาออกไป..

           แล้วก็แก้ปริศนาแห่งคำสาปรองเท้าแก้วให้ได้..











           "..." เจ้าหญิงแห่งจันทราลืมตาตื่นขึ้นมา


           นางรู้สึกถึงความรู้สึกแปลก ๆ ตัวนางกำลังขยับอยู่ แต่ไม่ได้ขยับด้วยร่างกายของตัวเอง ทว่ากำลังถูกอุ้มพาไปโดยคนอื่น 


           กลิ่นของลูกไม้หอมโชยเข้ามาในจมูก


           "อะ ตื่นแล้วรึ ?" เสียงร่าเริงของหญิงสาวที่เป็นคนแบกตัวจันทรา


           "นี่ตัวเรา.."


           "โห นึกว่าตายไปแล้วนะนั้น สรุปยังมีชีวิตอยู่จริงสินะ" เสียงเบื่อหน่ายของหญิงสาวที่มาจากข้าง ๆ ของผู้หญิงที่กำลังแบกจันทราอยู่ แต่นางกลับมองไม่เห็นตัวเธอ เพราะผู้หญิงคนที่แบกอยู่ตัวสูงเกินไป


           "โธ่ ความเขลาอย่าพูดจาแบบนั้นสิ ไม่ดีเลยนะ"


           "เรื่องของฉันเถอะน่า เธอก็ทำหน้าที่แบกยายนั่นดี ๆ ก็แล้วกัน"


           จันทราพยายามชะโงกหน้าจนในที่สุดก็เห็นเจ้าของเสียงที่เบื่อหน่ายนั้น เธอเป็นผู้หญิงร่างตัวเล็กที่ตัวเตี้ยพอ ๆ กับเด็กประถม


           พอเจ้าหญิงแห่งจันทราเห็นทั้งคู่แล้ว ก็ทำให้นางนึกออกถึงนามตำแหน่งของทั้งคู่ "เจ้าหญิงแห่งพละกำลัง เจ้าหญิงแห่งความเขลา ?"


           "โห นึกออกแล้วนี่ นึกว่าความจำจะเสื่อมไปด้วยแล้ว"


           "ความเขลานี่ล่ะก็ทำตัวดี ๆ หน่อยสิ ถ้าเป็นดีเดี๋ยวฉันจะให้ขนมนะ"


           "หึ นึกว่าของแบบนั้นจะมาล่อฉันได้งั้นรึ" เจ้าหญิงแห่งความเขลาเชิดหน้าขึ้นพร้อมยืดอก


           เจ้าหญิงแห่งพละกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมยื่นลูกอมรสหวานหลอกล่อเจ้าหญิงแห่งความเขลา


           "ลูกอม.." เจ้าหญิงร่างเล็กแค่เห็นก็น้ำลายจะไหลอยู่แล้ว


           "จะเป็นเด็กดีไหม จะเป็นเด็กดีไหม จะเป็นเด็กดีไหม" เจ้าหญิงร่างสูงส่ายลูกอมไปมา หน้าของเจ้าหญิงผู้ถูกหลอกล่อก็ได้แต่หันตามอย่างหวังลมแล้ง ๆ จนในที่สุด..


           "ว้า! ก็ได้ ๆ จะยอมเป็นเด็กดีก็ได้" ท้ายที่สุดตบะก็แตกจนได้


           "จ้า งั้นนี่รางวัลสำหรับเด็กดีนะ" เจ้าหญิงแห่งพละกำลังให้ลูกอมกับเจ้าหญิงแห่งความเขลา นางก็นำไปรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย


           "เออ คือว่าปล่อยฉันลงก็ได้ค่ะ คิดว่าน่าจะไม่เป็นไรแล้ว อีักอย่างแบกฉันแบบนี้น่าจะหนักน่าดู"


           "อะ ไม่ต้องเกรงใจ ๆ จันทราน่ะเบาอย่างกับขนนกอยู่แล้วล่ะ" เจ้าหญิงแห่งพละกำลังมีความสามารถอย่างที่ฉายาตนเองบอกจริง ๆ


           "แต่ว่า..ทำไมตัวฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?"


           "แล้วพวกเราจะไปรู้กับเธอไหม พวกเรากำลังเดินมาตามทางอยู่ดี ๆ ก็มาเห็นเธอนอนสลบอยู่กลางพื้นแล้ว นึกว่าจะ.." เจ้าหญิงแห่งความเขลากำลังจะพูดต่อแต่หยุดไว้เมื่อรู้สึกถึงความยึดมั่นในสัญญาของเจ้าหญิงแห่งพละกำลังด้านหลัง


           จันทราพยายามนึก สิ่งสดท้ายที่นางจำความได้คืออยู่ที่ห้องอาบน้ำกับพวกเมกุมิ จนกระทั่งนางมองเห็นเจ้าหญิงแห่งธริษตรี แล้วตามนางมา จากนั้นสติก็หลุดลอยหายไปเสียอย่างนั้น


           รวมถึงยังเหมือนจะเห็น..แมวด้วย ?


           "แล้วที่นี่ไหนคะ ?" จันทราสงสัยเพราะนางมาอยู่ในเส้นทางที่ไม่คุ้นตา


           "หืม ที่นี่คือปราสาทแห่งธริษตรีเขตใต้น่ะ"


           "ปราสาทแห่งธริษตรีเขตใต้หรือคะ!?" เจ้าหญิงแห่งจันทราตกใจ เพราะห้องอาบน้ำที่เธอไปนั้นเป็นส่วนของปราสาทตะวันตก แต่การที่นางมาอยู่ที่นี่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย


           "อืม ถ้าเจอตัวยายนั่นเร็ว ๆ ก็น่าจะรู้เองล่ะ"


           "ใครหรือคะ ?"


           "เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาน่ะ จันทราเคยได้ยินเรื่องของนางบ้างไหมล่ะ ?" 


           "เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาหรือคะ.." เจ้าหญิงแห่งจันทรานึกตามที่เจ้าหญิงแห่งพละกำลังบอก หากเธอจำไม่ผิด เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษานั้นเป็นเจ้าหญิงเพียงคนเดียวในบรรดาเหล่าเจ้าหญิงที่ไม่มีอาณาจักรที่กว้างใหญ่เหมือนคนอื่น ๆ แต่เป็นเพียงดินแดนเล็ก ๆ และแยกสันโดษ รวมถึง..


           "..เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษารุ่นนี้เป็นเจ้าหญิงที่มีความบริสุทธิ์ที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมา ขนาดที่ว่าเจ้าหญิงธริษตรีรุ่นไหน ๆ ก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้ เป็นคนที่ขนาดเหล่าผู้อยู่สวรรค์ยังให้การการยอมรับ" เจ้าหญิงแห่งความเขลาอธิบายเสริม


           "ถ้าเป็นนางน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างน่ะ ตั้งแต่ที่ตัวฉันตื่นมาพบกับความเขลาก็ออกตามหานางมาตลอดเลยล่ะ"


           "ไม่แน่ว่านางอาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับคำสาปรองเท้าแก้วด้วยก็ได้นะคะ"


           "คำสาปรองเท้าแก้ว ?"


           เจ้าหญิงแห่งจันทราเล่าเรื่องคำสาปรองเท้าที่ตนรู้ทั้งหมดให้ทั้งสองเข้าใจ รวมถึงเรื่องที่อาจจะมีบางอย่างอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้นอกเหนือจากนั้น และเรื่องของเจ้าหญิงที่ถูกฆ่า กับพวกนิวเจเนซิสที่แฝงตัวเข้ามาด้วย


           "คำสาป เจ้าหญิงถูกฆ่า มีพวกต่างแดนบุกรุกเข้ามา เรื่องนี่จะไปไหนกันใหญ่แล้วล่ะนี่"


           "แต่ว่าพวกเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด ไม่สิ นิวเจเนซิสสินะ เป็นพวกเดียวกับพวกเราใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่ามีอะไรน่าเป็นห่วงนะ"


           "ยายบ้า ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นต่างหากล่ะ ที่สำคัญที่สุดคือเพราะพวกนั้นและผู้บุกรุกอื่น ๆ เข้ามาในอาณาจักรนี้ต่างหากถึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้น" เจ้าหญิงแห่งความเขลาว่า


           "แต่ว่าบางที..ไม่ว่าพวกเขาจะบุกรุกเข้ามาหรือไม่บุกรุกเข้ามา เรื่องนี้อย่างไรก็อาจจะต้องเกิดขึ้นก็เป็นได้นะคะ" จันทราคิด


           "หมายถึงเรื่องคำสาปรองเท้าแก้วนั่นน่ะนะ แต่ข้อมูลมันเบาบางเกินไปจนคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงได้เลยนะ" 


           "ฉันเห็นค่ะ.."


           "เห็นอะไร ?"


           "..ฉันมองเห็นวิญญาณของเจ้าหญิงธริษตรีค่ะ"


           "วิญญาณของ..เจ้าหญิงแห่งธริษตรี"


           "เธออาจจะตาฝาดก็ได้นะ" เจ้าหญิงแห่งความเขลายังไม่ยอมเชื่อ


           "แต่ฉันเห็นจริง ๆ ค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทรายืนยันหนักแน่น "สาเหตุที่ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะนางค่ะ"


           ระหว่างที่ทั้งสามไปตามทางของปราสาทเรื่อย ๆ ก็มีบางอย่างร่วงลงมาจากข้างบน..


           "?"


           "ซี่!!"


           สิ่งมีชีวิตขนาดยาว ไม่มีแขน ไม่มีขา เกล็ดสีขาวเผือก ดวงตาเรืองแสงสีเหลือง มันแยกเขี้ยวของมัน แสดงถึงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน


           "งู!"


           เจ้าหญิงแห่งจันทราผละตัวออกมาจากเจ้าหญิงแห่งพละกำลังแทบในทันทีทำให้เธอรอดผลมาจากคมเขี้ยวของอสรพิษได้อย่างฉิวเฉียด


           "จันทรา ?" เจ้าหญิงสูง-เตี้ยหันมาทางเดียวกัน และเห็นเจ้างูเผือกกำลังข่มขู่จันทรา


           พละกำลังมองซ้าย-ขวาแล้วรีบไปหยิบแจกันที่อยู่ด้านข้างมาขว้างใส่งูเผือกจนกระเด็นออกไป
           "จันทรารีบวิ่งเร็วเข้า!"


           "ค่ะ" นางรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปพร้อมกับทั้งสอง


           ความเขลาได้ยินเสียงมาจากข้างบนมากขึ้น พอนางเงยขึ้นไปมองก็พบกับ..กองทัพงูสีขาวเผือกกำลังร่วงหล่นลงมาเป็นห่าฝน..


           "แบบนี้ชักไม่ดีแล้วสิ"


           ทั้งสามเร่งความเร็วมากขึ้น แต่งูก็ร่วงลงมาไม่หยุด และยังมีบางส่วนดักรออยู่ข้างหน้าแล้วอีกด้วย


           "ทางนี้!" เจ้าหญิงหักเลี้ยวซ้าย ซึ่งยังเป็นทางโล่ง


           "ซี่!" ทันใดนั้นก็มีงูตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมุมมืด แต่ถูกเจ้าหญิงแห่งพละกำลังปัดออกไปได้เสียก่อน


           "วิ่งต่อไปอย่าหยุด" เจ้าหญิงแห่งพละกำลังตะโกน


           พวกนางออกวิ่งสุดชีวิตเท่าที่ทำได้ แต่ฝูงงูเผือกก็เลื่อยเข้ามาอย่างรวดเร็ว


           เจ้าหญิงแห่งความเขลาเห็นประตูอยู่เบื้องหน้า แต่ก็บังเอิญเห็นบางอย่างที่อยู่ใกล้เคียงกันจึงเพิ่มความเร็วเพื่อไปถึงจุดนั้นก่อน แล้วทำการเทสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาให้หมด


           "น้ำมัน ?"


           "จันทรารีบผ่านประตูนี้ไปเร็วเข้า พละกำลังจัดการให้ด้วย!"


           "เข้าใจแล้ว" เจ้าหญิงแห่งพละกำลังกำแขนของเจ้าหญิงแห่งจันทรา "จันทรา ระวังตอนลงดี ๆ นะ"


           "คะ ?"


           "ย้ากกก!" เจ้าหญิงส่งเสียงร้องและออกแรงสุดกำลัง เจ้าหญิงแห่งจัทราถูกเหวี่ยงข้ามประตูนั้นไป แต่ดีที่อย่างน้อยก็ดูจะไม่ได้เจ็บมาก


            "ชึบ!" ตัวเจ้าหญิงพละกำลังเองกระโดดข้ามน้ำมันไปด้วยตัวเอง ถึงจะมีร่างกายที่สูงใหญ่แต่กลับสามารถกระโดดได้สูงจนเลยผ่านน้ำมันมาได้


           พร้อมกันนั้นก็หยิบไฟแช็คออกมาแล้วปาออกไปกลางกองน้ำมันที่อยู่นองพื้น


           แล้วร่วมกับเจ้าหญิงแห่งความเขลาปิดประตูบานนั้นลง


           ได้ยินเสียงและแสงของเปลวไฟก่อนที่ประตูจะปิดลงอย่างสนิท แต่นั่นเป็นภาพเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น


           ...


           ..


           .


           "จบแล้วหรือ ?" นอกจากเสียงที่มาจากอีกฝากก็ไม่มีวี่แววที่พวกมันจะตามมาอีกแล้ว


           "ฟู่ เล่นเอาเหนื่อยแทบตายเลยแฮะ แบบนี้ไงถึงได้เกลียดการออกกำลังกายน่ะ" เจ้าหญิงแห่งความเขลาบ่น


           "น..นั่นสินะ" เจ้าหญิงแห่งพละกำลังตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


           "..."


           "เป็นอะไรรึเปล่า เธอน่ะ ?"


           "อืม" พละกำลังส่ายหน้า "ไม่เป็นไร ๆ ฉันยังแข็งแรงสมชืื่อตัวเองอยู่"


           "เรอะ แบบนั้นก็ดี" เจ้าหญิงแห่งความเขลาหันไปหาเจ้าหญิงแห่งจันทรา "แล้วเธอล่ะว่าไง ลุกไหวรึเปล่า"


           "ค่ะ ลุกไหวค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทราลุกขึ้นยืน ปัดชายกระโปรงนิดหน่อย


           "งั้นก็ไปกันต่อเถอะ ถึงจะผิดเส้นทางที่วางไว้ตอนแรก แต่ยังไงก็ไม่ได้รู้จุดหมายที่แน่นอนอยู่แล้ว"


           พูดเสร็จเจ้าหญิงแห่งความเขลาก็เดินนำไป ตามด้วยเจ้าหญิงแห่งจันทรา และเจ้าหญิงแห่งพละกำลังตามลำดับ


           เนื่องจากพวกงูเผือกทำให้พวกนางหลงมาอยู่ในเส้นทางที่ไม่รู้ ซึ่งล้วนแต่เป็นห้องทางเดินตรงที่ไม่มีอะไรประดับอยู่ซ้ายขวา มีเพียงกระจกที่ซ้ำ ๆ กัน กับทางโล่ง ๆ


           เมฆสีดำข้างนอกก็ยังคงกระจุกปกคลุมทำให้ไม่รู้วัน-คืนของเวลาในขณะนี้ได้เช่นเดิม


           ความเงียบที่มีเพียงเสียงของฝีเท้าของทั้งสามคน ทำให้เสียงก้องจนบางครั้งก็รู้สึกตกใจในเสียงของตัวเอง


           เดินหน้า จนเวลาล่วงเลยไปได้สิบนาที..


           ก็มีเสียงฝีเท้าหนึ่งหยุดลง


           "เจ้าหญิงแห่งพละกำลังเป็นอะไรหรือคะ ?" เจ้าหญิงแห่งจันทราหันกลับไปถาม เพราะจู่ ๆ เจ้าหญิงแห่งพละกำลังก็หยุดอย่างกระทันหัน


           เสียงฝีเท้าด้านหน้าอย่างเจ้าหญิงแห่งความเขลาก็หยุดเช่นกัน


           "ฉันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาน่ะเดี๋ยวจะพักสักหน่อย แต่พวกเธอไปกันก่อนเลยเดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง" เจ้าหญิงแห่งพละกำลังบอกพร้อมรอยยิ้ม เธอก็ดูเหนื่อยจริง ๆ มีเหงื่อที่ไหลอยู่ตามตัว และสีหน้าที่ดูหมดเรี่ยวหมดแรง


           "แต่ว่าจริง ๆ จะหยุดพักกันก่อนก็ได้นะคะ ฉันเองก็เหนื่อยนิดหน่อยแล้วล่ะค่ะ"


           "ไม่เป็นไร ๆ" เจ้าหญิงพละกำลังส่ายมือ "ทั้งสองไปกันก่อนเลย เดี๋ยวถ้ามาหยุดรอฉัน จะยิ่งช้าไปกันใหญ่นะ เวลายิ่งไม่มีแล้วไม่ใช่รึ"


           "แต่ว่า.."


           "ไปกันเถอะ จันทรา อย่างที่ยายนั่นบอกนั่นล่ะ พวกเราไม่มีเวลาแล้ว" 


           "เจ้าหญิงแห่งความเขลา.." จันทราสังเกตเห็นว่าเจ้าหญิงแห่งความเขลาไม่ได้หันหน้ากลับมา


           อีกทั้งนางยังเดินถอยหลังมาจับแขนของนางแล้วคิดจะพาเดินไปด้วยกัน


           "ไม่ต้องเรื่องมากแล้ว รีบไปกันเถอะ"


           "อะ..ค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทราไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนกับจะเห็นหยดน้ำมาจากเจ้าหญิงแห่งความเขลา แต่ไม่ทันไม่ทันได้ทราบความจริง นางก็ถูกดึงพาไปเสียแล้ว


           "โชคดีนะ" เจ้าหญิงแห่งพละกำลังโบกมือให้ พร้อมส่งเสียงมาอย่างร่าเริง


           นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าหญิงแห่งจันทราจะได้เห็นรอยยิ้มที่เริงร่านั้น




           เจ้าหญิงหุบยิ้ม รู้สึกหายใจลำบากและปวดไปทั่วร่างกาย จับที่แขนของตัวเองด้วยความรู้สึกทรมาณ


           นางไปพิงหลังนั่งลงที่ผนังฝั่งกระจก แล้วเปิดแขนเสื้อของนางขึ้นมา


           แผลรูสองจุด เป็นรูปรอยฉกของงูเผือกที่ฉกเธอเมื่อตอนที่โดนลอบจู่โจม


           ปากแผลเป็นสีม่วงคล้ำ และกำลังลามไปทั่วทั้งร่างกาย


           เจ้าหญิงรู้แก่ตัวดีแล้วว่า ชีวิตของนางกำลังจะจบลงในอีกไม่ช้า


           "..มาได้แค่นี้งั้นสินะ.."


           ที่ว่าเมื่อเข้าใกล้ความตาย สิ่งต่าง ๆ ในอดีตจะหวนคืนกลับมาในความทรงจำ ขณะนี้เจ้าหญิงแห่งพละกำลังก็กำลังรำลึกความหลังเหล่านั้น โดยเฉพาะเรื่องของเจ้าหญิงแห่งความเขลา


           "..ใจดีจังเลยนะ..ความเขลาเนี่ย.."


           "..แล้วฉันขอไปก่อนนะ.."


           เจ้าหญิงหลับตาลงไปโดยที่ยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า


           เรี่ยวแรงทั้งหมดหายไป


           ลมหายใจเข้า-ออกหมดลง


           และแล้วหัวใจของนางก็หยุดเต้นลงในที่สุด..















           "เจ้าหญิงแห่งความเขลาคะ ฉันว่าพวกเราควรกลับไปพาเจ้าหญิงแห่งพละกำลังมาด้วยนะคะ ปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนั้น.." เจ้าหญิงแห่งจันทรายังคงรู้สึกเป็นห่วง



           "พวกเราได้แต่เดินหน้าต่อไปเท่านั้นล่ะ..เพื่อยายนั่นแล้วด้วย" เจ้าหญิงแห่งความเขลาทำสีหน้าปั้นยาก แต่สาเหตุเพราะอะไรจันทราก็ไม่ทราบ


           ตอนนั้นเอง เจ้าหญิงแห่งความเขลาก็หยุดเดินอย่างกระทันหันระหว่าง


           จันทราเกือบหยุดไม่ทันจนเกือบจะชนนาง "จู่ ๆ หยุดทำไมหรือคะ ?"


           "ความรู้สึกแบบนี้..นี่เธอรู้สึกรึเปล่า ?"


           "ความรู้สึก ?" เจ้าหญิงแห่งจันทราไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าหญิงแห่งความเขลาบอก แต่เมื่อเงียบกันไปสักพัก เธอก็รู้สึกถึงบางอย่างจริง ๆ


           "ทำไม..ถึงรู้สึกอุ่นขึ้นมานะ"


           "พวกเราน่าจะเข้ามาอยู่ในเขตของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาแล้วล่ะ"


           "เขตของเจ้าหญิงแห่งพิพากษา ?"


           "จำที่บอกไปได้ไหมล่ะ ว่าเจ้าหญิงมีความความบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาเจ้าหญิงทุกคนที่เคยมีมา นอกจากนั้นแล้วมีข่าวลือว่าเธอมีพลังลึกลับซ่อนอยู่ในตัวอีกด้วยเช่นกัน" เจ้าหญิงแห่งความเขลาเล่า


           "พลังลึกลับ.." จันทรานึกถึงพลังแบบพวกนิวเจเนซิสอย่างเมกุมิ


           "เห็นบอกว่าเป็นพลังเกี่ยวข้องกับชีวิตอะไรนี่ล่ะ ก็ไม่รู้ล่ะนะ ฉันก็ไม่ได้มีความสนใจเป็นพิเศษเสียด้วยสิ"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรายิ้มเจื่อนให้กับคำพูดที่ดูไม่สนใจใครของเจ้าหญิงแห่งความเขลา 


           ทว่าตอนนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่สายตาของนาง ได้มองเห็นบางสิ่งอีกครั้ง


           สตรีที่ยืนอยู่ในเงามืด มีผมปิดบังส่วนบนและเพราะค้อมหน้าลงเล็กน้อยจึงไม่อาจมองเห็นดวงตาคู่นั้นได้ แต่งกายในชุดราตรีสีเขียวใบไม้ ความงามที่ทำให้ไม่อาจละสายตาไปได้อีกครั้ง


           ..และรอยยิ้มที่ฉีกกว้างอย่างน่าสยดสยองนั่น..






           "นี่! นี่!"


           "คะ!?" เสียงเรียกของเจ้าหญิงแห่งความเขลาทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทราตื่นจากภวังค์


           "เป็นอะไรจู่ ๆ เงียบและเหม่อไป"


           "เจ้าหญิงแห่งความเขลาไม่เห็นหรือคะ ตรงนั้นมีเจ้-!?" จันทราคิดจะชี้ให้ความเขลาเห็นเจ้าหญิงที่นางเห็น แต่ว่าเมื่อเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง สตรีผู้นั้นก็หายไปเสียแล้ว


           "ไม่เห็นมีใครเลยนี่น่า เธอนี่ท่าทางจะอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ หลังจากจบเรื่องนี้ไปหาหมอที่ดี ๆ หน่อยล่ะ" เจ้าหญิงแห่งความเขลาว่า และเดินต่อ
           "เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะ ตามความรู้สึกนี้ไปน่าจะทำให้ไปถึงที่หมายได้"


           "ค..ค่ะ" เจ้าหญิงแห่งจันทราที่ยังสับสนอยู่เล็กน้อย แต่นางก็ตัดสินใจที่จะไปกับเจ้าหญิงแห่งความเขลา


           ขณะที่เดินไปได้ไม่ไกล เจ้าหญิงแห่งความเขลาก็รู้สึกถึงบางอย่างนอกจากความอบอุ่นที่คาดว่าเป็นของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา
           "ความรู้สึกทิ่มแทงหลังแบบนี้ ขอให้ไม่ใช่พวกมันด้วยเถอะนะ"


           "พวกมัน ?"


           "ซี้!!"


           เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตสีขาวเผือกดังก้องไปทั่วทั้งทางเดิน พวกมันปรากฏออกมาตามช่องหรือรูเล็ก ๆ ที่มีตามจุดต่าง ๆ กองทัพงูสีขาวส่งเสียงขู่ร้องและปลดปล่อยจิตสังหารเข้าหาเหล่าเจ้าหญิง


           "ได้ฤกษ์วิ่งแล้ว!" เจ้าหญิงแห่งความเขลาตะโกน แล้วทั้งสองก็รีบออกวิ่งไปในทันที


           พวกงูจากด้านหลังคลานตามพวกนางอย่างรวดเร็ว และเริ่มประชั้นชิดเรื่อย ๆ ในขณะที่ฝั่งเจ้าหญิงนั้นความเร็วตกลง เพราะความเหนื่อยล้า


           "แฮ่ก ๆ ๆ ฉันล่ะเกลียดแบบนี้จริง ๆ" เจ้าหญิงแห่งความเขลาบ่น


           "ทำใจดี ๆ ไว้ค่ะ"


           "อยู่แล้วน่า ฉันก็ยังไม่อยากตายนักหรอกนะ"


           มีงูบางตัวตั้งท่าแล้วพุ่งตัวเองโฉบเข้าใส่ทั้งสอง แต่เจ้าหญิงสามารถหลบได้ทัน ทว่าจากนั้นก็มีตัวที่พุ่งกระโดดตาม ๆ กันมาอีกหลายตัว


           พวกนางรีบหักเลี้ยวที่ทางแยกเพื่อหลบ จรวดงูที่พุ่งเข้ามา แต่ว่าก็ได้แค่ไม่กี่วินาที


           จนผลสุดท้าย..


           "ซี่!" งูตัวหนึ่งกระโดดเข้ามาไหล่ของเจ้าหญิงแห่งความเขลาแล้วทำการฝังเขี้ยวลงไปที่ผิวหนังของนาง


           "โอ๊ย!" ความเขลารีบสลัดมันออกไป แต่พิษก็แล่นเข้าร่างกายไปเสียแล้ว..


           "เจ้าหญิงแห่งความเขลา!?"


           "ไม่เป็นไร รีบไปกันต่อเถอะน่า!" นางตะโกน แล้วรีบวิ่งกันต่อไป


           ขณะเดียวกันความรู้สึกอันอบอุ่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกมากยิ่งขึ้น


           "ใกล้แล้วอีกนิดเดียว" เจ้าหญิงแห่งความเขลาคิด


           ทั้งสองมาถึงทางสามแยกอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกที่สัมผัสได้ บอกว่าพวกนางจะต้องไปทางซ้าย


           "ทางนี้เป็นทางไปยังห้องของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา รีบไปกันเถอะค่ะ" 


           แต่เจ้าหญิงแห่งความเขลาก็ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงยังไม่ก้าวเท้าออกไป


           "เจ้าหญิงแห่งความเขลาเป็นอะไรคะ รีบไปกันเถอะค่ะ"


           "ถ้าพวกเราไปกันทั้งคู่ เจ้าพวกงูนั่นก็จะตามเราไปหาเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาและทำให้สิ่งที่ทำมาเปล่าประโยชน์" เจ้าหญิงแห่งความเขลาก้าวเท้าถอยหลังทำท่าจะไปอีกทางหนึ่ง "และฉันเองก็คง.."
           มือไปสัมผัสส่วนที่ถูกกัด เนื่องจากมีเสื้อปิดจึงมองไม่เห็น แต่ว่าตอนนี้พิษสีม่วงกำลังแพร่ไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว


           "เรื่องนั้น.."


           "ฉันจะล่อพวกมันไว้เอง รีบไปเสีย!" เจ้าหญิงแห่งความเขลาโยนเครื่องประดับที่มีอยู่ใส่พวกงูกระตุ้นให้พวกมันจ้องมาที่ตัวนาง


           "มาเลย ฉันอยู่ทางนี้!" นางท้าทายและเริ่มก้าวเดินไปอีกทาง


           "เจ้าหญิงแห่งความเขลา!"


           "รีบ ๆ ไปเร็วเข้า!" ความเขลาตวาดใส่จันทรา จนนางต้องจำใจวิ่งไป
           เมื่อเห็นเจ้าหญิงแห่งจันทรายอมทำตาม เจ้าหญิงแห่งความเขลาจึงตะโกนให้ดังขึ้น พร้อมโยนของไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อล่อพวกมันมาหา


           "มาทางนี้เลย ฉันอยู่ทางนี้!"


           สิ่งที่นางทำลงไปทำให้งูกว่าห้าในหกมาทางเธอ ส่วนที่ไปทางเจ้าหญิงแห่งจันทราก็น้อยจนไม่น่าเป็นห่วงเรื่องการหนี


           แต่ของที่ใช้ขว้างก็หมดแล้วเช่นกัน..


           พยายามค้นของที่เหลืออยู่ว่าพอจะมีอะไรใช้ได้บ้างไหม ก็มี..ลูกอมของเจ้าหญิงแห่งพละกำลังเม็ดสุดท้าย


           เจ้าหญิงแห่งความเขลาจ้องอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจไม่ขว้างแต่รีบวิ่งหนี


           "ลูกอมของเธอนี่อร่อยจริง ๆ เลยนะ" เจ้าหญิงฉีกเปลือกลูกอมและทานเข้าไป พร้อมโยนเปลือกใส่พวกงู แต่เปลือกลูกอมก็ไม่มีทางทำอะไรได้อยู่แล้ว


           ความเขลาวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ก็ช้าลง..ช้าลงตามแรงกายที่มี


           "ช..ชักจะไม่ไหวแล้วสิ" ทั้งเหงื่อและการหอบหายใจที่มากกว่าปกติ ร่างกายเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย


           เมื่อมองไปข้างหน้าก็พบว่าเป็นทางแยกไปอีกสองทาง เจ้าหญิงจำต้องตัดสินใจเลือกอีกครั้ง


           ซ้าย..หรือ ขวา


           เจ้าหญิงแห่งความเขลาหันคอกลับไปมองพวกงูที่ไล่ตามมาติด ๆ พวกมันมีมากจนไม่อาจนับจำนวนได้เลย แต่ว่าจากที่คาดคะเนด้วยสายตาดูแล้วน่าจะเกือบทั้งฝูงที่พากันมาไล่ล่าเธอแล้ว


           ช่วยถ่วงเวลาได้เท่านั้นเอง..


           "ไม่อยากจะทำแบบนี้เลย แต่ก็คงดีกว่าให้พวกนั้นทำล่ะนะ" เจ้าหญิงแห่งความเขลาใส่แรงเฮือกสุดท้ายลงไป พิษที่กำลังทำร้ายก็แล่นผ่านไปทั่วทั้งหลัง แต่ก็ยังฝืนวิ่งไปข้างหน้า


           "ซี้!"


           มีงูบางตัวพุ่งกระโจนเข้าหาเธอ แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าหญิงทำให้มันสงสัย ก่อนที่เจ้าหญิงแห่งความเขลาจะทำในสิ่งที่พวกมันคาดไม่ถึง


           เพล้ง!


           เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นครั้งเดียว เศษกระจกแตกเป็นเศษ ๆ นับร้อย ร่างเล็ก ๆ ของเจ้าหญิงลอยอยู่กลางอากาศ มีงูตัวหนึ่งลอยตามเธอมาด้วย


           "แต่ก็ดี..เท่านี้ก็จะได้ไม่ต้อง..เหนื่อยอีกแล้ว.."


           ทั้งสองหล่นมาด้วยความเร็วที่เท่ากัน ศีรษะกลับลงพื้น ได้ยินเสียง ปึง! ทันทีทีร่างของเจ้าหญิงกับงูสีขาวไปกระทบกับพื้น


           ด้วยความมืด กระโหลกจะแหลกหรือเป็นอะไรไปไม่อาจทราบได้ แต่ชีวิตของเจ้าหญิงได้ดับสิ้นลงไปอีกหนึ่งนางแล้ว..













           เจ้าหญิงแห่งจันทราวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เพราะถูกสั่งให้วิ่ง ไม่ก็เพราะตัวเองรักตัวกลัวตาย แต่ตอนนี้ไม่ว่าเหตุผลไหนก็มีแต่ต้องวิ่งเท่านั้น
           พวกงูถึงจะมีน้อยมาก ๆ แต่พวกมันเพียงตัวเดียวหากสามารถกัดเธอได้ ก็คง..


           แต่ในความสิ้นหวัง ก็มีความหวัง เจ้าหญิงได้วิ่งมาถึงประตูบานหนึ่งที่แลดูมีความพิเศษกว่าประตูบานอื่น ๆ


           และความรู้สึกที่สัมผัสได้..ก็บอกว่าประตูนั้นจะนำพานางไปถึงจุดหมาย


           ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ทุ่มแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อวิ่งไปที่ประตูนั้น


           เอื้อมแขนจนสุดแล้วกางมือไปจับกรประตู เปิดประตูบานนั้นออกมาแล้วเข้าไปข้างใน


           ตึง!!


           ทุกอย่างในหัวเป็นสีขาวโพลน เมื่อเข้ามาก็รีบปิดประตู หอบหายใจเข้า-ออกแรง เข่าถึงกับทรุดลงกับพื้น เหงื่อไหลไม่หยุด ขอเวลาพักก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อไป


           เจ้าหญิงแห่งจันทรานั่งพักสาม-สี่นาที โดยที่ไม่ได้สังเกตอะไรรอบข้าง จนเมื่อสามารถฟื้นฟูแรงกายกลับมาได้ส่วนหนึ่ง จึงสามารถลุกขึ้นยืนได้ตามปกติ


           เจ้าหญิงแห่งจันทราเพิ่งสังเกตมองห้องที่เข้ามานี้ดี ๆ เป็นห้องที่แปลกและดูตัดขาดไปจากทุกห้องก่อนหน้านี่ที่เคยไปมา
           ผนังเป็นหินที่มีตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด เหมือนกับถ้ำ ที่นี่มีคบเพลิงคอยให้แสงกับห้องทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในห้องได้ดี ไม่มีหน้าต่าง แต่น่าจะมีช่องอากาศอยู่เพราะรู้สึกลมอ่อน ๆ ที่ผ่านตัวเองไป


          จันทราเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ไม่ลึกมากเท่าไร นางก็มาพบกับบุคคลที่นางต้องการจะพบ


           เจ้าหญิงร่างเล็กในชุดกิโมโนที่ไม่เหมาะกับตัวกำลังนั่งอยู่บนแท่นพิธีที่คล้ายกับแท่นพิธีในพิธีกรรม แต่เป็นขนาดที่ทำให้สำหรับคนคนเดียว มีคบเพลิงที่มีไฟลุกโชนจนสว่างจ้ายิ่งกว่าคบเพลิงไหนอยู่ฝั่งซ้ายและขวาข้าง ๆ กาย


           ผู้หญิงตัวเล็กยิ้ม และลืมตาขึ้น พร้อมเอ่ยว่า "ในที่สุดก็มาถึงนะคะ เจ้าหญิงแห่งจันทรา"


           "จ..เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา ?"


           "ท่านกล่าวได้ถูกต้องถึงนามของเจ้าของร่างนี้ แต่บัดนี้ร่างนี้ไม่ได้เป็นของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา ตอนนี้ตัวเราได้ผสานเข้ากับวิญญาณของนางเป็นการชั่วคราว และขอยืมใช้จิตวิญญาณแห่งมิโกะแห่งสุริยามาช่วยเพื่อทำให้สามารถที่จะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้"


            คำพูดที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาทำให้จันทรางงเล็กน้อย แต่เจ้าหญิงก็ตัดบทเข้าเรื่อง "เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากฝีมือใครกันแน่ แล้วทำไมถึงต้องไล่ฆ่าเหล่าเจ้าหญิงด้วย ?"


           "เรื่องนี้เกิดขึ้นจากฝีมือของใคร ตัวท่านน่าจะรู้ดีที่สุดนะคะเจ้าหญิงแห่งจันทรา ท่านเองก็พบกับพวกเขามาหลายครั้งและเอาชีวิตรอดมาได้จนถึงที่นี้"


           "พบหลายครั้ง..?" เจ้าหญิงแห่งจันทรานึกถึงบรรดาอสูรกายที่ตัวเองพบมาระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็น แมว, คนใส่เกราะ หรืออัลกามาร์ตัวปลอม แต่ก็ยังไม่ทราบคำตอบ จึงเปลี่ยนคำถาม
           "แล้วคำสาปรองเท้าแก้วล่ะคะ.."


           "คำสาปรองเท้าแก้ว..สิ่งที่ท่านคิดก็ถูกต้อง แต่ก็ผิดในเวลาเดียวกัน ความจริงของเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและไม่ได้เกิดขึ้นจากคำสาปนั้น"


           คำตอบที่กำกวมทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทรายิ่งไม่เข้าใจ


           "จะมิโกะแห่งสุริยาหรือเจ้าหญิงคำพิพากษา ไม่อาจให้อนาคตที่แน่นอนได้ เพราะตัวเราให้นางมาเพื่อเพียงเป็นผู้ช่วยเสำหรับกำหนดเส้นทางที่เป็นไปได้เท่านั้น ความจริงของเรื่องทั้งหมด ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องมาเป็นผู้เปิดเผย"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรารู้สึกเหมือนคำตอยของนางไม่ได้ถูกตอบเลย ทำให้นางยิ่งรู้สึกร้อนรน


           "เรามีหน้าที่อื่นที่ต้องทำถึงได้เก็บตัวอยู่คนเดียวมาโดยตลอดตั้งแต่ที่ตื่นขึ้น แต่ว่าเมื่อท่านมาถึงแล้วหมายความว่าเวลาใกล้จะมาถึ.."


           "..ท่าทางหนึ่งในผู้ที่จะมาเฉลยความลับของเรื่องนี้ให้ท่านรู้จะมาถึงแล้วล่ะค่ะ" เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาหลับตา


           จันทราไม่เข้าใจในสิ่งที่คำพิพากษาบอก แต่ว่านางก็รู้สึกได้..รู้สึกถึงใครบางคนที่อยู่ข้างหลัง แล้วเมื่อหันไปก็ได้พบกับนางอีกครั้ง


           เจ้าหญิงที่ปรากฏให้จันทราเห็นมาตลอด และจะหายตัวไปในพริบตาที่นางละสายตา นางที่น่าจะตายไปแล้ว


           "เจ้าหญิงแห่งธริษตรี.." เจ้าหญิงแห่งจันทราเสียงสั่น


           "..."


           ความเงียบที่ชวนให้รู้สึกกดดัน เจ้าหญิงแห่งธริษตรีมาปรากฏเบื้องหน้าแล้ว แต่นางกลับเงียบไม่พูดอะไร พร้อมให้ความรู้สึกที่ดูน่กลัวอย่างบอกไม่ถูก
       

           จันทรากลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วรวบรวมความกล้าพูดออกไป
           "เจ้าหญิงแห่งธริษตรีคะ..ทำไมคุณถึง.."


           ทันทีที่เริ่มส่งเสียง เจ้าหญิงแห่งธริษตรี(?)ก็เปล่งเสียงที่น่ากลัวออกมา "แค้น.."


           "!?" 


           "คำสาป..แค้น..แก้แค้น..แค้น"


           เจ้าหญิงแห่งจันทราตัวสั่น เจ้าหญิงแห่งธริษตรี(?)ชี้นิ้วมาที่นาง "แกจะต้องตาย..แกเป็นคนทำให้ข้าตาย..แค้น..แก้แค้น"


           "ค..คำสาป..รองเท้าแก้ว"


           "พอได้แล้วล่ะค่ะ" เสียงของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาทำให้เจ้าหญิงแห่งธริษตรีหยุด
           "อย่าทำให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้เลยค่ะ อีกไม่ช้าทุกอย่างก็กำลังจะจบ"


           "แค้น.." เจ้าหญิงแห่งะริษตรีส่งเสียงกระเหี้ยนกระหือ


           "หากทำให้คุณอ่อนแรงลงได้ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขา นั่นคือหน้าที่ที่ตัวเราได้รับมา โดยคนที่จะพาคุณมาถึงที่นี่ได้ก็มีแต่เจ้าหญิงแห่งจันทราเท่านั้น ทุกอย่างได้อยู่ในดวงตาของมิโกะแห่งสุริยาในกายของเราแล้ว"


           "รวมถึงตอนจบของเรื่องทั้งหมดนี้ด้วย.."


           "แค้น!" เจ้าหญิงแห่งธริษตรีกรีดร้อง ทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทรากลัวแล้วถอยหลังพลาดจนล้ม


           "จงมอดไหม้เสียเถอะ งูเอ๋ย!"


           เมื่อดวงตาของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าคบเพลิงที่อยู่ข้างกายนาง กลายเป็นตราสัญลักษณ์บางอย่าง และปลดปล่อยเพลิงที่เข้ามอดไหม้ร่างของเจ้าหญิงธริษตรีในทันที


          เปลวอัคคีลุกโชนไปทั่วทั้งห้อง แต่เจ้าหญิงแห่งจันทรากลับไม่โดนลูกหลงไปด้วย ราวกับไฟพวกนี้สามารถควบคุมได้อย่างอิสระ


          เจ้าหญิงแห่งธริษตรีที่กำลังถูกเผาทั้งเป็นส่งเสียงกรีดร้องน่าเกลียด แล้วทำการกระทำบางอย่าง


           จู่ ๆ พื้นก็เปล่งแสงสีขาว เจ้าหญิงแห่งจันทราที่ไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นแล้วได้แต่นั่งสับสน จนกระทั่งทุกอย่างได้กลายเป็นสีขาวไป..











           "ที่นี่ก็ไม่อยู่.."


           ประตูห้องพักของเจ้าหญิงแห่งความเขลาถูกปิดลง เมกุมิที่แบกเจ้าหญิงแห่งดวงดาราที่หลับอยู่ ส่งเสียงอย่างไม่พอใจ


           "เมกุมิ เหนื่อยรึเปล่า ให้ฉันเป็นคนแบกเจ้าหญิงแท-" 


           "ไม่เป็นไร เอเลนาเองก็เพิ่งฟื้นด้วย ให้ฉันแบกนั่นล่ะดีแล้ว" เมกุมิที่เป็นนิวเจเนซิสนั้นจะมีแรงมากกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย และเพราะยิ่งเธอตั้งใจในการตามหาเจ้าหญิงแห่งจันทรานับตั้งแต่ที่นางหายตัวไป


           "เมกุมิ ถ้าฝืนเกินไปจะไม่ดีนะ อย่างน้อยอย่าเพิ่งใจร้อนแล้วค่อย ๆ ออกตามหาจะดีกว่า" โคโตฮะเตือน


           "..นั่นสินะ" เมกุมิยอมใจเย็นลงอย่างที่ถูกบอก


           "ทว่าเขตแดนแห่งธริษตรีช่างไพศาสนัก การจะออกค้นหาเจ้าหญิงแห่งจันทรานั้นมิใช่เรื่อง่ายเลยแม้แต่น้อย" เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลว่า


           "นั่นสินะคะ จะออกตามหาแบบสุ่ม ๆ ไปแบบนี้ตลอดก็ไม่ได้ด้วย"


           ครืน!!


          เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งปราสาท ตัวปราสาทสั่นไหวขึ้นอย่างกระทันหัน มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น!


           "นี่มัน.."


           "ความรู้สึกแบบนี้.."


           "เอเลนา ?"


           "โคโตฮะ เมกุมิ เดี๋ยวฉันขอล่วงหน้าไปก่อนนะ" พูดเสร็จหญิงสาวผมสีเขียวก็พุ่งตัวออกไปทันที โดยที่เธอดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากปราสาทไหวใด ๆ เลยอยู่คนเดียว


           "โคโตฮะ! ไม่แน่ว่า.."


           "เป็นไปได้ค่ะ พวกเราเองก็.." 


           เพราะแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง โคโตฮะที่ปกตินั้นไม่เป็นอะไร เมกุมิที่แบกเจ้าหญิงแห่งดวงดาราอยู่จึงเซบ้าง แต่เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลนั้นไม่อาจทรงตัวอยู่ได้เลยจนเธอกำลังจะล้ม


           "!?"


           แต่ร่างที่บอบบางนั้นล้มไปอยู่ในฝ่ามือของบุคคลผู้หนึ่งอย่างพอดิบพอดี


           และแล้วการสั่นไหวของปราสาทก็หยุดลง


           "ไม่เป็นไรนะคะ" หญิงสาวผู้เป็นผู้รับร่างของเจ้าหญิงแห่งรัตติกาลพูดกับนางด้วยน้ำเสียงสุภาพจนทำให้นางหน้าแดง


           "ข..ขอบพระคุณค่ะ.."


           หญิงสาวจับมือของเจ้าหญิงแห่งรัตติกาลและพากันลุกขึ้นยืนพร้อมกัน


           "ข้างหลังท่าน.." เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลสังเกตเห็นเด็กผู้หญิงอีกสองคนกำลังเกาะกระโปรงของผู้หญิงคนนี้อยู่


           "พวกคุณ..ถ้าจำไม่ผิด ท่านผู้หญิงทั้งสองนั้นคือ.."


           "ค่ะ ถ้าไม่รังเกียจขอให้พวกดิฉันไปด้วยจะได้รึเปล่าคะ ท่านเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด, เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน แล้วก็เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล"
           หญิงสาวในชุดเมดทักทายด้วยกิริยาที่สุภาพอีกครั้ง
           "ดิฉันคิดว่าเจ้าหญิงแห่งจันทราจะต้อง.."















           "..."


           "?"


           เจ้าหญิงแห่งจันทราลืมตาขึ้นหลังจากที่ต้องหลับตาไปเพราะแสง แต่เมื่อกลับมามองเห็นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย


           นี่ไม่มีแสงไฟจากคบเพลิงหรือส่วนที่เป็นหินแบบนั้นห้องของเจ้าหญิงคำพิพากษาเลย รวมถึงไม่มีความรู้สึกอันอบอุ่นเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในห้องนั้น ยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่ห้องของนางแน่ ๆ


           ที่จะมีก็มีแต่ พื้นที่เป็นสีแดงมีลวดลายประสลักอยู่ไปทั่ว ให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงเพราะเมื่อจับลงไปเหมือนกับมีบางอย่างเหนี่ยว ๆ ติดมือมาด้วย 


           "ที่นี่คือ.."


           "ไม่คิดว่าจะใช้วงเวทอสูรในสถานการณ์เช่นนั้น แต่ว่าอย่างน้อยก็สามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แล้ว" เสียงของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษามาจากด้านหลังทำให้จันทรายิ่งรู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้อยู่คนเดียว


           "เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาคะ..ที่นี่คือ.."


           "ตัวเราอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นานหากขาดแท่นพิธีติดต่อ แม้แต่เจ้าหญิงแห่งสุริยันก็ออกไปเสียแล้วเช่นกัน ที่เหลือคงต้องให้เป็นหน้าที่ของความอดอยากเท่านั้น" เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาพึมพำกับตัวเองไม่ตอบคำถามของจันทรา


           "เออ..คือว่า.."


           คำพิพากษาจ้องหน้าของจันทราทำให้เธอไม่กล้าพูด แต่นางเป็นฝ่ายพูดว่า "หน้าที่ของเราตรงนี้หมดลงแล้ว ขอฝากร่างทรงผู้บริสุทธิ์ผู้นี้ด้วย จนกว่าพวกเราจะได้มีโอกาสพบกันใหม่"


           ทันใดนั้นก็ปรากฏแสงขึ้นบนหน้าผากของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา แสงนั้นเป็นรูปตัวอักษร Q ก่อนที่จะมลายหายไปราวกับถูกลบทิ้ง


           แล้วเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง


           "ไปแล้วสินะคะ คุณดวงจิตศักดิ์สิทธิ์"



           "เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา ?"


           "อะ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งค่ะ คุณเจ้าหญิงแห่งจันทรา ฉันเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาค่ะ" คำทักทายที่ดูใสซื่อ และท่าทางที่ต่างไปของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาทำเอาเจ้าหญิงแห่งจนทราอึ้งไปครู่หนึ่ง


           "เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ ?"


           "จะอธิบายก็ยากน่ะค่ะ และตรงนี้ก็ดูจะเป็นที่ที่ไม่พิสมัยในการที่จะเล่าเสียเท่าไร" พอคำพิพากษาพูดเช่นนั้นก้ทำให้จันทรากลับมานึกออกว่าตอนนี้พวกนางมาอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบ


           "แล้วพวกเราจะออกไปได้อย่างไร ?"


           "น่าจะมีทางออกอยู่ที่ไหนสักแห่ง พวกเราลองออกตามหากันก่อนเถอะค่ะ" เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษายืนขึ้นและเดินนำไปก่อน


           "อ..อืม" เจ้าหญิงแห่งจันทราพยักหน้า และตามไป


           ทั้งสองมาอยู่ในที่ที่ดูแล้วเหมือนกับว่าพวกนางไม่ได้อยู่ในปราสาทแห่งธริษตรีอย่างแน่นอน มันดูต่างออกไปและไม่ให้ความรู้สึกที่ดีเอาเสียเลย ความรู้สึกกดดัน และความรู้สึกแย่นั้นมีมากกว่าตอนอยู่ในปราสาทที่มืดมิดเสียอีก


           ตลอดทางที่เดินมาไม่มีอะไรไปมากกว่าผนังที่น่ารังเกียจ พื้นที่คล้ายกับมีชีวิต ทางโล่ง ๆ ที่ไม่เห็นปลายทาง


           จันทราครุ่นคิดว่าตัวเองต้องเดินผ่านห้องว่าง ๆ มากี่ครั้งแล้วในครั้งนี้ แต่ที่นี่เป็นที่ที่รู้สึกไม่ชอบที่สุด


           จนกระทั่งในที่สุดพวกนางก็มาถึงที่ที่มีบางอย่าง..


           บางสิ่งคล้าย ๆ รังไหมมีอยู่เบื้องหน้าพวกนาง และไม่ใช่แค่หนึ่งแต่ยังมีรังไหมแบบนี้อยู่อีกเป็นร้อย-เป็นพัน หรือมากกว่านั้น


           "อะไรกันน่ะ ?" ด้วยความสงสัยเจ้าหญิงแห่งจันทราจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ


           "ระวังอย่าเข้าไปใกล้จะดีกว่าค่ะ" คำเตือนของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาทำให้นางหยุด


           "ทำไมหรือคะ ?"


           "เพราะไม่ใช่สิ่งที่น่าดูชมเท่าไรน่ะสิคะ ทางที่ดีพวกเราหาทางออกจากที่นี่กันก่อนเถอะค่ะ"


           "เข้าใจแล้วค่ะ" จันทราเชื่อในสิ่งที่คำพิพากษาบอก นางเองก็รู้สึกไม่ดีกับพวกรังไหมเหล่านี้เท่าไร่เช่นกัน แม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่คิดว่าปล่อยไว้แบบนี้แล้วไปต่อน่าจะดีกว่า


           แต่ยังไปได้ไม่ถึงไหน ก็มีเสียงบางอย่างที่ทำให้พวกเจ้าหญิงต้องหยุดเดิน


           ..เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างกำลังเดินอยู่ข้างหน้า..


           เจ้าหญิงแห่งจันทราย่อตัวลง ส่วนเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาแค่ยืนตัวก็เท่ากับนางเวลาที่ย่อตัวอยู่แล้ว เมื่อเห็นบุรุษสวมหมวกใส่เสื้อโค้ทสีดำผู้หนึ่งเดินเข้ามา


           เขาดูเหมือนจะไม่รู้ว่าพวกนางอยู่ที่นี่เพราะไม่ได้ทำท่าเหมือนตามหาพวกนาง แต่กำลังเดินตระเวณอยู่รอบ ๆ เท่านั้น


           "พวกเราจะผ่านไปอย่างไรดีคะ ?" จันทรากระซิบถาม


           "คงต้องอ้อมไปแล้วล่ะค่ะ"


           เมื่อตกลงกันเช่นนั้น เจ้าหญิงทั้งสองก็พยายามย่องไปอีกทางโดยให้เงียบที่สุด โดยใช้เส้นทางที่มีพวกรังไหมเหล่านั้นเต็มไปหมดโดยคิดว่าจะใช้เป็นที่กำบัง


            ชายร่างสูงเดินเข้ามาสำรวจภายในเขตรังไหมแล้ว แต่เพราะในนี้เป็นเหมือนเขาวงกตไม่มีผิดเพี้ยน จึงไม่น่าที่หาเจอกันได้ง่าย ๆ 


           เจ้าหญิงเดินต่อไป..


           ความกลัวและความตื่นตระหนกสะสมอยู่ในใจของเจ้าหญิงแห่งจันทรา นางพยายามบอกกับตนเองไม่ให้ทำพลาดมิเช่นนั้นจะต้องถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน ผิดกับเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาที่เดินไปอย่างไม่รู้กลัวเกรงใด ๆ


           และความกลัวนั้นเองทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น..


           พรวด!


          เสียงน้ำและบางอย่างที่ถูกคายออกมาจากรังไหม เป็นเพราะแขนของเจ้าหญิงแห่งจันทราบังเอิญไปโดนเข้า


           "!!" เสียงนั้นทำให้มันรู้ตัวเข้าแล้ว


           เจ้าหญิงแห่งจันทรากำลังจะวิ่งแต่เมื่อดวงตาของนางมองลงไปยังสิ่งที่ถูกคายออกมาก็ทำให้ขาของหน้าหยุดที่จะก้าวไป..


           สภาพที่กึ่งเน่ากึ่งเปื่อย สภาพร่างกายที่ดูไม่ออกว่าเป็นใครกัน


           แต่เพราะสวมชุดที่ดูหรูหรามีราคา สำหรับดินแดนแห่งนี้คนที่สวมชุดเช่นนี้ล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงแห่งราชวงค์ต่าง ๆ


            สิ่งที่ออกมาจากรังไหมนั้นคือตัวเขา..


           
       แววตาของเจ้าหญิงเริ่มสั่นไหว "..คน..งั้นหรือ ?" 


           "..." เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาไม่พูดอะไรแค่ทำท่าไว้ทุกข์ แต่เพราะนางเองก็พอทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว


           "รังไหม..พวกนี้หรือว่าจะ.."
           และนั่นก็ทำให้เจ้าหญิงเข้าใจทั้งหมด ถึงการหายตัวไปของคนอื่น ๆ ในปราสาท


           "ม..ไม่จริง..ไม่จริง.."


           เจ้าหญิงมองกวาดสายตาออกไป ในบรรดารังไหมนับพันพวกนี้ล้วนคือเหล่าแขกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแห่งธริษตรี ไม่ว่าจะเป็น พ่อบ้าน, เมด, ชนชั้นสูง หรือคนรับใช้อื่น ๆ ทุกคนล้วนอยู่ในรังไหมเหล่านี้


          "เจ้าหญิงแห่งจันทราพวกเราต้องรีบไปแล้วนะคะ" เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาพยายามเรียก แต่เจ้าหญิงแห่งจันทราก้าวขาต่อไปไม่ถูก


           "หากรังไหมทั้งหมดนี้เป็นคนร่วมงานล่ะก็..หมายความว่า.." ใบหน้าของคนที่สนิทที่สุดของเจ้าหญิงกลับขึ้นมาในความทรงจำ แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว


           "ไม่จริงใช่ไหม..เรื่องแบบนี้.." 


           เรี่ยวแรงถูกดึงออกไปจากตัวของเจ้าหญิงแห่งจันทราอีกครั้ง เธอล้มทั้งยืนทั้งแบบนั้น


           "เจ้าหญิง เจ้าหญิงแห่งจันทราคะ"คำพิพากษาไม่อาจทิ้งจันทราไว้คนเดียวได้ แล้วพยายามดึงแขนของนางให้ออกไปจากที่นี่ แต่ว่านางกับไม่อาการตอบสนองอะไรเลย


           "ถ้าไม่รีบล่ะก็ เขาจะม-!?"


           พูดไม่ทันขาดคำ ก็ปรากฏเงาสีดำเบื้องหน้าของเจ้าหญิงตัวเล็ก


           เจ้าหญิงแห่งจันทราเบี่ยงหน้าหันไปมองเช่นกัน มันมาอยู่จ้างหลังของนางพอดิบพอดี ใบหน้าถูกหมวกปิดบังไว้ ในมือมีค้อนขนาดใหญ่ที่บัดนี้ถูกยกขึ้นเหนือศีรษะเตรียมจะฟาดใส่พวกนาง


           นางไม่เหลือแรงที่จะกลัวหรือตกใจอะไรอีก จึงไม่แสดงอาการหรือความรู้สึกอะไรออกมา


           ขณะที่เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาพยายามออกแรงเท่าที่ทำได้เพื่อดึงจันทราแต่ก็ไม่ขยับไปแม้แต่เซนติเมตรเดียว


           และแล้วค้อนนั้นก็กำลังจะถูกทุ่มลงมา!!


          .
          .
          .
          .
          .




          ตูม!


          ค้อนแหลกสลายคามือเพราะบางอย่างที่พุ่งเข้าใส่แบบกระทันหัน หมวกของมันถูกบางอย่างตัดจนไม่เหลือสิ่งปกคลุมใบหน้า จนแสดงใบหน้าที่เน่าเปื่อยจนเหลือแต่กระดูกออกมา 


           เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษายิ้มอย่างมีความหวัง


           เจ้าหญิงแห่งจันทราเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ นางมองเห็นแสงที่มาจากที่ที่ห่างไกลนั่น แต่แสงนั้นมันช่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสของปราสาทแห่งธริษตรีที่เคยเห็นและชื่นชมเสียอีก


           เส้นผมสลวยสีเขียวโบกสะบัดไปกับละอองแสง


           มือขวาถือดาบที่่ส่องประกาย มือซ้ายถือวงแหวนที่ส่องสว่าง


           หญิงสาวผู้อ้างนามของเจ้าหญิงแห่งมรกต แต่บัดนี้นางได้กลับสู่ตัวตนที่แท้จริงของนาง


           แสงแห่งความหวัง ที่มาพร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ


           นิวเจเนซิสผู้ถูกเลือก ชิมาบาระ เอเลนาได้มาถึงแล้ว..
















           ปราสาทธริษตรีส่วนใต้ ที่ตอนนี้ความเงียบได้เข้าปกคลุมอย่างสมบูรณ์


           ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีสิ่งมีชีวิต เป็นเพียงที่ที่ว่างเปล่า


           ร่างของเจ้าหญิงที่หลับใหลอย่างไม่มีวันตื่นอยู่ข้างกระจกก็คงอยู่ตรงนั้นโดยยังไม่เน่าเปื่อย


           บรึ้ม!


           ทันใดนั้นเศษหินก็แตกกระจาย


           ควันระเบิดฟุ้งไปทั่ว แต่ร่างของเจ้าหญิงก็ยังไม่สั่นไหว


           ปรากฏเงาของใครบางคนที่ก้าวเข้ามาภายในปราสาท


           สายตาที่คมกริบ ให้ความรู้สึกไม่เป็นมิตร มองดูรอบข้างอย่างเบื่อหน่าย


           "เฮ้อ กว่าจะเข้ามาได้เล่นเอาเหนื่อยแทบตาย แล้วพอมาถึงก็ไม่มีอะไรให้เล่นเลยงั้นรึ แบบนี้มัชวนหงุดหงิดนะรู้ไหม"


           หญิงสาวมองเห็นร่างของเจ้าหญิงแห่งพละกำลังที่นอนอยุู่ข้าง ๆ เพียงแค่มองก็ทราบแล้วว่าลมหายใจของนางได้จากหยุดลงไปแล้ว แต่สาเหตุที่ทำให้เป้นเช่นนั้นผู้หญิงคนนี้ก็รับทราบด้วยเช่นกัน


           ซึ่งนั่นทำให้ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของเธออีกครั้ง


           "เห แบบนี้สิถึงค่อยดูน่าสนุกหน่อย ที่นี่เหมือนจะมีปาร์ตีใหญ่งั้นสิ ขอให้ไม่ผิดหวังก็แล้วกัน ไหน ๆ พวกเทพธิดาโง่เงาพวกนั้นก็กำลังยุ่งอยู่จนไม่มีเวลามาดูแลชีวิตอันเป็นที่รักที่กำลังลำบาก เพราะฉะนั้น.."


           หญิงสาวชักมีดคัตเตอร์แล้วเปิดคมมีดออกมา "..ตัวฉันจะขอสนุกให้เต็มที่ไปเลย"


           เมื่อใดที่ความดีไม่อาจมาช่วยเหลือสิ่งใดบนโลกได้ ความชั่วจึงต้องเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทน


           ยมฑูตได้มาถึงปราสาทแห่งธริษตรีแล้ว..














            การมาถึงของยมฑูต ถูกจับตามองด้วยสายตาคู่หนึ่ง โดยที่ตัวเขาไม่รู้สึก


            นันย์ตาสีแดงบริสุทธิ์ที่จับตามองทุกความเปลี่ยนแปลง


            รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ผิวกายสีขาวราวกับหิมะ


            "ในที่สุดก็มากันครบจนได้ เอาล่ะ พวกเรามาทำให้เรื่องราวนี้ มาถึงบทสรุปของมันกันเถอะ"


           กล่าวเสร็จร่างสีขาวนั้นก็หายไปจากที่นั้นอย่างไร้ร่องรอย


           บทละครของพวกเขาได้มาถึงบทสุดท้ายแล้ว


      .
      .
      .
      .
      .


          แสงกระพริบวูบวาบ เสียงดังอย่างเป็นจังหวะ สายลมจากแรงปะทะสั่นสะท้าน


          เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาพาร่างที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของเจ้าหญิงแห่งจันทรามาที่มุมด้วยความพยายามได้จนสำเร็จ


           และเธอก็จับตาดูการต่อสู้ของเธอกับมันอย่างตาไม่กระพริบ
       

           "นิวเจเนซิส..ตัวตนผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า.."


           นางพึมพำ ระหว่างเดียวกับที่หญิงสาวผมสีเขียวชักวงแหวนเข้าตัว วงแหวนเปล่งแสงออกมาพร้อมกลายสภาพเป็นกรงจักร แล้วขว้างออกไป


           บุรุษร่างสูงใหญ่ยกมือซ้ายขึ้นป้องกัน การปะทะกันระหว่างทั้งสองผลคือกงจักรแสงเป็นฝ่ายชนะ แขนของมันถึงแหลกสลายไม่เป็นชิ้นดี


           มันดูสงบลง และเดินไปที่รังไหมที่อยู่ใกล้ที่สุด


           หญิงสาวมองดูสถานการณ์อย่างใจเย็น แต่เมื่อเห็นการกระทำของมันก็ถึงกับทำให้ดวงตาของเธอเบิกกว้าง


           มันใช้มือขวาคว้าเข้าไปในรังไหมแล้วดึงร่างของคนที่อยู่ข้างในนั้นออกมา และมันก็นับคนผู้นั้นมาเสียบเข้าแทนที่แขนที่ขาดไป 


           "หึ ๆ ๆ " 


          เท้าคู่พุ่งถีบเข้าใส่เอเลนา หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบพร้อมวาดดาบออกไป แต่เพราะเธอต้องหลบไม่ให้ดาบไปโดนส่วนร่างกายคนทำให้ถูกมันจับแขนเข้า


           วงแหวนกำลังจะสร้างกรงจักรขึ้นมา แต่ในจังหวะเดียวกันมันก็ใช้ขาของศพฟาดเข้าหน้าของเธอ


           "แค่ก ๆ" เอเลนาไอเล็กน้อย แต่ตัวเธอไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไรมาก


           ใบหน้าที่เน่าเปื่อยของมันเห็นเหมือนว่ามันกำลังแสยะยิ้ม ตอนนั้นเองร่างกายมนุษย์ที่ถูกฝังเข้าร่างกายของมันก็แปรสภาพ เป็นการแปรสภาพที่แปลงทั้งเลือดทั้งเนื้อและสภาพทุกอย่าง จนกลายเป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกับ..ลูกตุ้ม


           ..มันจ่อเล็งไปทางที่เจ้าหญิงทั้งสองอยู่..


           "!"


           ไม่มีการพูดจาหรือส่งสัญญาณใด ๆ มันก็ยิงลูกตุ้มใส่พวกนางทันที


           "หยุดนะ!!" หญิงสาวแผดเสียงพร้อมพุ่งตัวไปให้เร็วที่สุด เธอมาอยู่ข้างหน้าของทั้งสองในพริบตาแล้วยื่นวงแหวนไปด้านหน้า พร้อมปลดปล่อยละอองแสงออกมาทำหน้าที่เหมือนเกราะป้องกันเจ้าหญิงเมื่อครั้งถูกลอบสังหาร


           แรงปะทะและแรงสั่นสะเทือนกู่ร้องไปทั่ว น้ำหนักของลูกตุ้มปะทะกับละอองแสงที่รวมกันหนาเสียจนเจาะไม่เข้า


           เอเลนาใส่แรงเข้าไป สะท้อนลูกตุ้มย้อนกลับไปทางที่มันมา


           ทว่าบุรุษร่างสูงใหญ่กลับใช้โอกาสนั้นเหวี่ยงลูกตุ้มไปทางรังไหมอื่น ๆ


           ปรากฏร่างของผู้คนมากมายติดอยู่กับหัวลูกตุ้ม และยังถูกแปรสภาพให้กลายเป้นลูกตุ้มที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า


            เจ้าหญิงแห่งจันทราที่มองเห็นภาพอันน่าหดหู่นั่นถึงกับปิดตาและก้มหน้าลงไม่กล้าที่จะมองต่อ


            เอเลนาเองก็ทำใจลำบากแต่ว่าเธอเองก้รู้ว่าหากปล่อยไว้แบบนี้


           "ขอโทษนะ" หญิงสาวปล่อยดาบจากมือ ดาบก็กลายเป็นละอองแสง


           ลูกตุ้มถูกเหวี่ยงลงมาจากด้านบนเพื่อทุบใส่พวกเธอ


           ละอองแสงรวมตัวกันใหม่ เธอจับสิ่งนั้นและฟันออกไปเป็นรูปกากบาท สะท้อนลูกตุ้มย้อนกลับไปที่มันอีกครั้ง


           ..ดาบสองปลายปรากฏอยู่ในมือของเอเลนา..


           บุรุษร่างสูงดึงลูกตุ้มกลับคืนมา ไปทุ่มแรงทั้งหมดไปข้างหลังเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเหวี่ยงกลับไปใหม่


           เอเลนาตั้งดาบสองปลายไว้ด้านหน้า เอาวงแหวนประกบส่วนตรงกลาง และแล้วก็ปรากฏลูกศรแสงขึ้นมา เธอรวบรวมแสงนั้นแล้วง้างแขนข้าลำตัวจนสุด


            "ฮ้ากก!" ลูกตุ้มยักษ์พุ่งตรงเข้าหาพวกเธอ


           ปลายธนูปรากฏรูปวงกลมคล้ายเป้าเล็ง ขยายใหญ่ขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น พร้อม ๆ กับแสงที่มารวมตัวกันมากขึ้น พลังที่ถูกรวบรวมไว้กำลังจะถูกปล่อยออกไป


            "ย้ากกก!" สิ้นสุดเสียงร้องของเธอ ลูกศรก็ถูกปล่อยออกไป


           เสียงทะลุผ่านอากาศของทั้งสองการโจมตี ทว่าความเร็วและความแรงของลูกศรนั้นมากกว่า ตอนที่เข้าปะทะกัน ก็ดูเหมือนลูกศรจะเป็นฝ่ายพุ่งเข้าชนลูกตุ้มเสียเอง


            ทันทีที่กระทบกัน แสงก็ส่องสว่างจ้ามากขึ้น และยังทะลุผ่านลูกตุ้มขนาดใหญ่นั้นพุ่งเข้าหาร่างของผู้ใช้งานมันกลางส่วนที่จะต้องเป็นหัวใจของมนุษย์


            บุรุษร่างสูงพยายามส่งเสียงร้องแต่มันก็แทบเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ รอยแตกคล้ายลาวากำลังจะปะทุปรากฏขึ้นให้เห็นบนร่างกาย
           จนสุดท้ายร่างของมันก็ระเบิดออกจากภายในตัวมันเอง




           หลังการสิ้นสุดระเบิด ดาบสองปลายและวงแหวนก็สลายกลายเป็นแสงแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเอเลนา
             "ฟู่ จัดการได้เสียที"


           ถึงจะเป็นฝ่ายชนะแต่การที่ต้องเห็นว่าต้องมีคนตกเป็นเหยื่อมากแค่ไหน และยังสภาพของคนในปราสาทแห่งปราสาทธริษตรีที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ทำให้ดีใจไม่ออก


           เจ้าหญิงแห่งจันทราถึงแม้จะเห็นว่าเจ้าอสูรกายนั้นถูกจัดการไปแล้ว แต่สภาพจิตใจของนางก็ไม่ได้ถูกฟื้นฟูกลับมาด้วย


           จนกระทั่งเธอเดินเข้ามาหานาง..


           "เธอคือเจ้าหญิงแห่งจันทรางั้นสินะ"


           เพราะถูกเรียกชื่อเจ้าหญิงจึงเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้านางคือหญิงสาวที่ส่งมือมาให้อย่างเป็นมิตร 


           "เมกุมิบอกเรื่องของเธอให้ฉันฟังแล้วล่ะ เพื่อนของเมกุมิก็เป็นเหมือนเพื่อนของฉันด้วย พวกเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะนะ" รอยยิ้มที่ไม่มีการเสแสร้ง ความจริงใจของเธอทำให้เจ้าหญิงเกือบจะเอื้อมมือไป


           แต่เพราะสายตาที่เหลือบไปมองเหล่ารังไหมอย่างไม่ตั้งใจทำให้มือข้างนั้นชักกลับมา


           เอเลนาก็แสดงความลำบากใจออกมาทางสีหน้า แต่เธอก็ยังอยากที่จะเป็นเพื่อนกับนาง


           "เอเลนาข้างในเป็นอะไรรึเปล่า!?" เสียงของเมกุมิดังมาจากทางประตูที่เอเลนาใช้เข้ามา ทางนั้นประกอบไปด้วยเมกุมิที่แบกเจ้าหญิงแห่งดวงดารา, โคโตฮะ และเจ้าหญิงแห่งรัตติกาล


           "ไม่เป็นไร แล้วดูนี่สิฉันเจอตัวเจ้าหญิงแห่งจันทราแล้วด้วย


           "ไหน ๆ" เมกุมิมองลงมาตามที่เอเลนาบอก ก็เห็นจันทราที่นั่งก้มศีรษะอยู่ตรงนนั้น "จริงด้วย จันทรา ฉันอยู่ทางนี้!"


            แต่ถึงทักทายไปเจ้าหญิงแห่งจันทราก็ไม่มีการตอบสนองกลับแต่อย่างใด..


           "แล้วก็.." เอเลนาหันมาทางเจ้าหญิงร่างเล็กข้าง แต่เธอไม่รู้ว่านางเป็นใคร


           เจ้าหญิงโค้งคำนับอย่างสุภาพ "เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาค่ะ พวกเราเคยพบกันในงานพิธีครั้งหนึ่งแล้วไงคะ เจ้าหญิงแห่งมรกต ไม่สิ คุณนิวเจเนซิส"


           "อะ จริงด้วย ขอโทษทีนะ"


           "ขอโทษค่ะ เมื่อสักครู่พูดว่าเจ้าหญิงแห่งจันทราสินะคะ"


           "ใช่ค่ะ อะ จริงสิคุณก็.."


           เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่เอเลนาไม่คุ้นกำลังคุยอยู่กับโคโตฮะ เธอเดินเข้ามาและส่งเสียงเรียกนาง "เจ้าหญิงแห่งจันทราคะ!"


           เสียงที่คุ้นเคย ทำให้เจ้าหญิงจันทราที่เอาแต่นั่งก้มหัวจนถึงเมื่อสักครู่เงยหน้าขึ้น


           หญิงสาวในชุดเมดที่อยู่ ณ ปลายทางนั้น ผู้หญิงที่นางคิดว่าตายไปแล้ว น้ำตาที่ปริมอยู่ริมขอบกำลังจะไหลออกมา พร้อมปากที่ขยับเป็นชื่อของนาง
           "..ซา..กิ"


           "เจ้าหญิงคะ!"


           เจ้าหญิงแห่งจันทราพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่เพราะนางอยู่ในสภาพไร้กระจิตกระใจมาสักพักทำให้แรงยังฟื้นกลับมาไม่เต็มสภาพ จนเกือบที่จะล้ม แต่เอเลนาเข้ามาพยุงไว้ได้ทัน


           "..คุณ.."


           "ไปกันเถอะ คนสำคัญของเธอกำลังรออยู่นะ" หญิงสาวผมสีเขียวยิ้มให้


           ทั้งสองพากันเดินขึ้นไป โดยที่เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาก็เดินตามไปแบบเงียบ ๆ
       

           เมื่อทั้งสามขึ้นมาข้างบน เจ้าหญิงแห่งจันทราก็ไม่กล้าที่จะสบตาของฝ่ายซากิเสียเอง แต่ฝ่ายเมดสาวเข้าสวมกอดเจ้าหญิง ทำให้นางร้องไห้ออกมาไม่หยุด


           "น่าประทับใจจังเลย" เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยดีใจ


           "ร้องไห้เป็นเด็กไปได้" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ไม่ค่อยที่จะสนใจเท่าไร


           "คนพวกนี้ ?" เอเลนาที่พบว่ามีหน้าใหม่มาร่วมเพิ่มถึงสามคนแบบนี้จึงหันไปหาโคโตฮะด้วยใบหน้าสงสัย


           "ในตอนที่เธอรู้สึกถึงบางอย่างแล้วรีบวิ่งไปคนเดียว พวกเราก็มาพบพวกนางเข้าโดยบังเอิญน่ะ ทางนี้คือเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย ส่วนท่านนี้คือเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ แล้วก็.."


           โคโตฮะพลางมือไปทางเมดสาวที่กำลังกอดปลอบใจเจ้าหญิงอยู่ พอเธอรู้ตัวก็ทำการแนะนำตัวเอง "มิซึชิมา ซากิค่ะ เป็นเมดที่คอยดูแลเจ้าหญิงแห่งจันทราในปราสาทแห่งธริษตรีแห่งนี้ค่ะ"


           "..."


           "..."


           "..มีอะไรรึเปล่าคะ ?" ซากิถามเพราะเอเลนาจ้องหน้าเธอมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้


           "ขอโทษที พอดีแบบว่านะ..พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่านะ ?" เอเลนาขมวดคิ้ว


           "ดิฉันคิดว่าพวกเราน่าจะเพิ่งเคยพบกันครั้งแรกนะคะ ท่านเจ้าหญิงแห่งมรกต" เมดสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม


           "อืม..นั่นสินะ" 



           "แต่ว่าเจ้าห้องน่าขยะแขยงนี่อะไรกันน่ะ มีห้องแบบนี้อยู่ในปราสาทแห่งฑริษตรีด้วยรึนี่"


           "ฮะ ๆ ๆ เด็กดึ้งอย่างกับเยลลี่เลย"
           ระหว่างที่ไม่มีใครสังเกต เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องและเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยก็แอบไปสำรวจห้องที่เต็มไปด้วยรังไหมนั้นเล่น


           "เดี๋ยว ไม่ได้นะ!" เอเลนาที่เพิ่งรู้สึกตัวส่งเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนก


           "เอ๋..?"


           ทันใดนั้นเองก็มีบางอย่างเขยื่อนไปหาพวกนางทั้งสองจากมุมมืด มันเป็นสิ่งมีชีวิตแปดขาคล้ายกับแมงมุม เพียงแต่ขนาดของมันใหญ่กว่าขนาดปกติถึงสามเท่า


           ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมัน ทำให้มันเข้าไปกัดที่ขาของเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยโดยที่ไม่อาจมีเวลาได้ตั้งตัวได้ทัน


           เจ้าหญิงที่ถูกกัด ก็พล่อยหลับลงไปทั้งยืนแบบนั้น ถึงพื้นจะไม่ได้แข็งมากเพราะมีสภาพเป็นเหมือนก้อนเนื้อ


           "กรี๊ด!!" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์กรีดร้องด้วยความกลัว


           ขณะเดียวกัน ทุกคนก็รู้สึกถึงความสั่นไหวขึ้นอีกครั้ง แต่ตัวปราสาทไม่ใช่ศูนย์กลางของการสั่นไหว แต่เป็นห้องที่เป็นก้อนเนื้อและเต็มไปด้วยรังไหมมนุษย์นั่นต่างหาก การสั่นไหวนี้เหมือนกับมันกำลังจะเคลื่อนไหว


           "เจ้-"


           "!?"


           ก่อนที่เหล่านิวเจเนซิสจะได้กระทำการอะไร ก็มีบางอย่างชิงตัดหน้าพวกเธอไปก่อน เจ้าหญิงแห่งจันทราถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง เพราะบุคคลที่เธอกอดอยู่ด้วยจำต้องรีบลงไป


           "กรี๊ด!" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ถอยหลังไม่ได้มองแล้วสะดุดล้มลงกับพื้น ในขณะที่เจ้าอสูรกายแปดขาพุ่งตรงมาทางเธออย่างรวดเร็ว


           ทว่าในพริบตาเดียวกัน เมื่อเธอเข้ามาพร้อมมีดพกที่ซ่อนอยู่ในกระโปรง เธอใช้มีดเล่มนั้นแทงเข้าไปกลางศีรษะของมัน เลือดสีม่วงพวยพุ่งออกมาจนร่างชุดสาวรับใช้ของเธอเปื้อนไปด้วยเลือดของมัน


           "ซากิ.." เสียงเรียกชื่อมาจากคนสองคน คนหนึ่งนั่งคุกเข่ามองเธออยู่ด้านบน อีกคนหนึ่งกำลังนั่งเอนหลังหลังจากพ้นสถานการณ์เสี่ยงตายไป


           "ไปกันเถอะค่ะ เจ้าหญิง" ซากิส่งมือพร้อมรอยยิ้มมาให้ เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ยื่นมือไปหาเธอโดยที่ไม่มีความเคลื่อบแคลงใจอีกต่อไป


           "ต้องรีบไปช่วยเจ้าหญิงแห่งคว-!?"


           แรงสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น เพดานเริ่มต่ำลง..ไม่สิ..พื้นกำลังต่ำลงเรื่อย ๆ ก้อนเนื้อทำท่าจะเคลื่อนลงไปข้างล่าง


           "เดี๋ยวฉันลงไ-!?"


           ก่อนที่เอเลนาจะพูดจบประโยค เธอก็ต้องหยุดชะงักและรับสิ่งที่ลอยเข้ามาหาเธอ


           เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธออย่างกระทันหัน


           ท่ามกลางความสับสน เมดสาวรีบวิ่งไปหาเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยที่ไร้สติ อุ้มเธอขึ้นมาแล้วกำลังจะวิ่งออกไปที่ประตู แต่เพราะพื้นที่เคลื่อนไหวได้ยากและการที่ต้องอุ้มเจ้าหญิงทำให้เธอไปได้ช้ากว่าปกติ


           ทว่าเจ้าก้อนเนื้อกลับเริ่มขยับลงมาเร็วขึ้นจนดูเหมือนว่าเธอไม่อาจจะขึ้นไปได้ทัน


           "ซากิ!" เจ้าหญิงแห่งจันทราส่งเสียงร้องพร้อมส่งมือไปหาเธอ


           "!" ซากิพยายามวิ่งมาให้เร็วที่สุด แต่พื้นก็ต่ำลงเรื่อย ๆ และในอีกไม่กี่อึดใจเพดานนั่นก็จะลงปิดทางออกแล้ว


           "..."


           การตัดสินใจสุดท้ายของเธอ ร่างของเจ้าหญิงที่ไม่ได้สติถูกขว้างออกไปยังโคโตฮะที่มือว่างอยู่ ซึ่งเธอกับรับร่างของเจ้าหญิงไว้ได้อย่างพอดี


           "ซากิ!" เสียงของเจ้าหญิงแห่งจันทราเริ่มสั่น


           "..." เมดสาวพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะเสียงของแรงสั่นสะเทือนทำให้ไม่ได้ยินที่เธอพูด แต่ว่าสิ่งสุดท้ายที่เธอกระทำคือ..ส่งรอยยิ้มนั้นให้แก่เจ้าหญิงแห่งจันทรา..


           ครืนนน!!


           ภาพสุดท้ายที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งวินาที แต่ทำให้ร่างและประสาทรับรู้ทั้งหมดของเจ้าหญิงหยุดไปอีกหลายวินาที


          จนเมื่อเธอได้สติ เธอก็ส่งเสียงร้องและคิดจะตรงเข้าไปช่วย "ซากิ!"


          เมกุมิที่แบกเจ้าหญิงแห่งดวงดาราอยู่ แต่เธอก็ยังเข้ามารั้งเพื่อนของเธอไว้ได้ "หยุดเถอะ จันทรา ซากิน่ะเขา.."


          "ไม่นะ..ไม่จริง เมกุมิช่วยทีสิ เธอเป็นนิวเจเนซิสไม่ใช่หรือ มีพลังที่มากกว่ามนุษย์ทั่วไปไม่ใช่หรือ!?"


           "ถึงแบบนั้นก็เถอะ.." เมกุมิทำหน้าปั้นยาก โคโตฮะกับเอเลนาเองก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน ขณะที่เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลและเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาต่างเคารพศพพร้อม ๆ กันด้วยรูปแบบที่ต่างกัน


           "ซากิ..ซากิ.." เจ้าหญิงแห่งจันทราที่เพิ่งฟื้นแรงกลับมาไม่นาน รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงจนไม่มีแรงยืนอีกครั้ง นางล้มคุกเข่าทั้ง ๆ แบบนั้น


           "ดูไม่ได้เลยนะ คุณเจ้าหญิงผู้น่าสมเพช"


           ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่สู้ดีนัก คำดูถูกของหญิงสาวผู้หนึ่งทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป


           เสียงนั้นอาจจะไม่มีอะไรพิเศษสำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้องแล้ว เสียงนั้นมีความหมายเป้นอย่างยิ่ง และเมื่อหันไปตามเสียงนางก็ได้พบกับ..


           "พี่.."


           "พี่..อ๋อ เจ้าเป็นน้องสาวของเจ้าของร่างนี้งั้นสินะ แต่ขอโทษที.." เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนพี่อยู่ตรงนั้น แต่สภาพของนางที่โชกไปด้วยเลือด รอยยิ้มที่ผิดประหลาด แววตาที่เรืองแสงสีทองเนือง ๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์อย่างที่เจ้าหญิงคนน้องรู้จักอีกต่อไปแล้ว
           "..เจ้าหญิงน่ะตายไปแล้วล่ะ ตอนนี้มีเพียงตัวข้าที่ใช้ร่างนี้ เหมือนกับทุก ๆ ที"


           "พี่..พูดเรื่องอะไรน่ะ ?"


           เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนพี่ที่มีท่าทีที่แปลกไป เหลือบตาไปหาเจ้าหญิงแห่งจันทราอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า
           "อะไรกันทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเจ้าหญิง พวกเราเจอกันตั้งสองครั้งแล้ว อย่าลืมกันแบบนี้สิ"


           "สองครั้ง.." เจ้าหญิงแห่งจันทรานึกย้อนกลับไป แล้วในที่สุดนางก็นึกออก รูปร่างแบบนั้น ความรู้สึกสัมผัสได้นี้ นางคือมัน..


           สิ่งมีชีวิตคล้ายแมวขนาดใหญ่ที่ฉีกร่างของเจ้าหญิงแห่งความตายเป็นชิ้น ๆ ผู้ที่กัดกินเลือดเนื้อของเจ้าหญิงแห่งสุริยันต่อหน้าต่อตา และบางอย่างที่สิงสู่เข้าร่างของเจ้าหญิงแห่งราชรถ ทั้งหมดนั้นกับมันผู้นี้ที่อยู่ในร่างของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนพี่ คือคนคนเดียวกัน


           "ทำไม..ทำไมเธอถึง.."


           "ที่บอกว่าแมวมีเก้าชีวิตน่ะ ไม่ได้มีไว้หลอกเด็กหรอกนะ" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ฉีกยิ้ม
           "แค่ต้องหาร่างที่เหมาะสมที่จะสิงสู่เท่านั้นล่ะ และร่างที่ได้จากปราสาทนี้ต่างก็เป็นร่างที่ดีเลยทีเดียว


           "พี่ พูดอะไรน่ะ ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย พี่-!?"


           "ยายนี่น่ารำคาญจริง ๆ" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนพี่กางกรงเล็บออกมา แล้วเข้าไปข่วนใส่เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์คนน้อง แต่เอเลนาที่อยู่ด้วยใช้วงแหวนป้องกันเอาไว้


           มันผละตัวออกไปหลังจากการปะทะของแสงกับกรงเล็บ


           "อ๋อใช่ ๆ เกือบลืมไปพวกคุณนิวเจเนซิสก็อยู่ด้วยนี่น่า พออยู่ในสารรูปแบบนั้นก็ชอบคิดว่าเป็นเจ้าหญิงตลอดเลย" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ผู้พี่ส่งสายตาไปทางโคโตฮะชั่วขณะหนึ่ง 



           "นี่เธอเป็นใครกันแน่..ต้องการอะไร ?" เอเลนาถามเพื่อไม่ให้มันเบี่ยงประเด็น


           "เห็นก็รู้แล้วนี่ก็เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ยังไงล่ะ" สิ่งที่สิงร่างเจ้าหญิงแห่งเวทมนตรอยู่ตอบอย่างกวนประสาท
           "นั่นสินะ จริง ๆ แล้วพวกเราเป็นใครกัน"


           "เป้าหมายของพวกเราก็เหมือนพวกเจ้านั่นล่ะ เหล่าผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย ที่นี่มีของสำคัญบางอย่างที่พวกเจ้าจำต้องมาเอาไปก่อนฝ่ายอื่น ๆ มิใช่รึ ?"


           "ของสำคัญที่จำต้องมาอาไป ?" เอเลนากับเมกุมิดูจะไม่ข้าใจในสิ่งที่มันบอก


           "ในฐานะที่ข้าเป็นคนใจดี ข้าจะบอกความลับขอ-"


           "เรื่องนั้นไม่จำเป็น เจ้าอสูร"


           เสียงของหญิงสาวผู้หน่งทำให้คำพูดยียวนกวนประสาทของอสูรร้าย ในร่างของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ต้องถูกหยุด นางมาพร้อมกับเจ้าหญิงอีกสองนาง ด้วยท่าทีที่ไม่หวั่นเกรงต่่อมัน


          "พวกเราจะไม่มีทางขอยืมความช่วยเหลือจากมารร้ายอย่างเจ้า"


           "เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม แล้วก็เจ้าหญิงแห่งหอคอย" โคโตฮะไล่ชื่อของเจ้าหญิงแต่ละนาง


           "ตามที่ท่านทำนายจริง ๆ สินะคะ" เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาทำเหมือนกับรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว


           "หึ" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์เชิดหน้า "แล้วอย่างงั้นพวกเจ้าจะทำอย่างไรเล่า จะติดอยู่ในปริศนาที่แก้ไม่ออกนี้ต่อไปเช่นนั้นรึ"


           "เจ้าต่างหากที่ผิดแล้ว เจ้าอสูร ปริศนาของคำสาปรองเท้าแก้ว ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว"


           "เอ๋..?" เสียงที่ร้องหลง ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้าหญิงแห่งจันทรา


           คำกล่าวนั้นทำให้เวทมนตร์ฉีกยิ้ม "หึ ๆ งั้นรึ ตอนนั้นน่าจะรีบฆ่าเจ้าสีย ไม่น่าไปไล่ตามเจ้าหญิงผู้น่าสมเพชนั่นเลย"


           "งั้นก็แปลว่าเจ้าได้เลือกหนทางที่ผิดมหันต์ไปเสียแล้วล่ะ"


           "เจ้าหญิงเองก็เก็บไว้คนเดียวเลยนะ ไม่ยอมบอกพวกเราเลย" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมที่อยู่ข้าง ๆ บ่น


           "ถ้าเกิดพูดกลัวว่าจะมีใครสักคนได้ยินเข้าน่ะ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงบอกพลางสายตาไปบนเพดานรอบ ๆ ก่อนจะหันกลับมา "แล้วก็เจ้าหญิงแห่งหอคอยก็รู้แล้วเช่นกัน"


           "หา ว่าไงนะ ?" ยุติธรรมไม่เชื่อจึงไปถามนาง นางไม่ตอบแต่พยักหน้าง่าย ๆ "แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้อยู่คนเดียวล่ะ มาด้วยกันแท้ ๆ นะ"


           "ก่อนอื่นเจ้าหญิงทุกท่าน รวมถึงเหล่าเจ้าหญิงตัวปลอมทั้งสาม พวกเราไปกันที่สถานจัดพิธีกันก่อน แล้วทุกอย่างก็จะคลี่คลายเอง" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงบอกคล้ายสั่ง


           "คิดว่าจะยอมให้ไปง่าย ๆ ได้รึไง!!" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์แผดเสียง แล้วพุ่งกรงเล็บเข้าใส่เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง แต่ทันใดนั้นก็บังเกิดกำแพงไฟสีแดงขึ้นมาขวางกั้น


           "ไม่ยอมให้ทำตามใจได้หรอกค่ะ" เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด(ปลอม) โคโตฮะ เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ พร้อมกับดาบเรเปียร์ของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งทำให้ไฟเกิดขึ้นมา ส่วนเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยก็ถูกฝากไว้กับเอเลนาแล้ว


           "เอเลนา เมกุมิ พาพวกเจ้าหญิงไปกันก่อน เดี๋ยวฉันจะรับมือมันตรงนี้เอง"


           "รับทราบ~!"


           "เข้าใจแล้ว" ทั้งสองตกลง เอเลนาอุ้มเจ้าหญิงร่างเล็กทั้งสองคนไป หนึ่งยังรู้สึกช็อกกับการที่พี่สาวถูกสิงโดยบางอย่าง อีกหนึ่งหลับไม่ได้สติ ตามด้วยเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาและเจ้าหญิงแห่งรัตติกาล


           "ไปกันเถอะ จันทรา"


           "อ..อืม" เมกุมิที่แบกเจ้าหญิงแห่งดวงดาราที่ยังไม่ได้สติ จูงมือเจ้าหญิงแห่งจันทราให้ไปด้วยกัน


           เมื่อเจ้าหญิงแห่งจันทราและเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงมาพบหน้ากันอีกครั้ง ฝั่งจันทรากลับรู้สึกไม่กล้าที่แม้แต่จะไปสบตาเธอ แต่พวกนางก็เลือกที่จะวิ่งไป ทว่า..


           "อ๋อ จริงสิ คุณเจ้าหญิงผู้น่าสมเพช ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคนรับใช้ของเจ้าน่ะ.."


           คำพูดของอสูรร้ายทำให้จันทราหยุดวิ่งแล้วหันกลับมา "..อะไรนะ..?"


           "จันทรา" เมกุมิเองก็หยุดเช่นกน ทำให้คนอื่น ๆ หยุดไปด้วย


           "ข้าบอกไปแล้วใช่ไหมว่าข้าจำเป็นต้องมีร่างสิงสู่เพื่อที่จะกระทำการสิ่งต่าง ๆ ได้ เฉกเช่นร่างนี้เป็นต้น และก่อนหน้านั้นก็เป็นร่างที่ตัวข้ารู้สึกเขากันได้ดีที่สุดอย่างเจ้าหญิงแห่งราชรถ แล้วก็คนก่อนหน้านั้นก็คือ.."


           ไม่ต้องให้พูดต่อเจ้าหญิงแห่งจันทราก็รู้คำตอบที่จะพูด นางยกมือป้องปาก ดวงตาเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว 


           "..ใช่แล้ว คนรับใช้ที่เจ้ารักนักรักหนา อัลกามาร์ยังไงล่ะ"


           "..ไม่จริง.."


           เสียงหัวเราะอันน่ารังเกียจจนคิดไม่ได้ว่าจะมาจากเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์


           เจ้าหญิงแห่งจันทราทำท่าจะล้มแต่ดีที่มกุมิมาช่วยรับไว้ทัน ทำให้นางฝืนที่จะถามต่อ "..ตอนนี้..เธออยู่ที่ไหน..อัลการมาร์อยู่ที่ไหน"


           อสูรร้ายฉีกยิ้ม "พวกแกอุตส่าหกำลังจะได้พบกันแล้วแท้ แต่ดันมีตัวเกะกะมาทำให้ข้าต้องสูญเสียร่างนั้นไปจนเหลือแต่ขี้เถ้า"


           "..เหลือแต่ขี้เถ้า.." คำตอบของมันทำให้จันทรานึกออก ความหวาดกลัวที่สัมผัสได้ตอนนั้น เพลิงสีชาดที่สร้างความหวาดหวั่นในนางอย่างที่สุด เจ้าหญิงที่บัดนี้ตัวนางก็ทราบดีแล้วว่าไม่ใช่ตัวจริง 


           นางเลื่อนสายตาไปหาเธออย่างสิ้นหวัง


           "ถูกต้องแล้ว ยายเจ้าหญิงตัวปลอมที่เป็นคนผาคนรับใช้ที่เจ้ารักก็คือเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาดตัวปลอมผู้นี้นี่เอง" เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ชี้นิ้วไปทางโคโตฮะ


           "..อัลกามาร์..ถูก โคโตฮะ.."  เจ้าหญิงแห่งจันทราเหมือนจะไม่มีแรงที่จะพูดแล้ว


           "เมกุมิ รีบาเจ้าหญิงแห่งจันทราออกไปเร็วเข้า!" โคโตฮะสั่ง


           "อืม" เมกุมิพยักหน้า "ไปกันเถอะเจาหญิง"
           ถึงเธอจะแบกเจ้าหญิงแห่งดวงดาราอยู่ แต่ก็มีมือที่จะช่วยพาเจ้าหญิงแห่งจันทราไปด้วย ทั้งสองวิ่งไปไม่เร็วนักก็เร็วพอที่จะออกจากพื้นที่นี้ พร้อมคนอื่น ๆ


           "แหม ๆ ปกปิดความผิดถึงขั้นบังคับขู่เข็ญกันเลยรึ คุณผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระเจ้า"


           "นั่นสินะ การอยู่อย่างหลบซ่อนก็เป็นเรื่องปกติของพวกเราอยู่แล้วด้วยสิ" รอบ ๆ กายของโคโตฮะบังเกิดเปลวไฟขึ้น เพลิงได้ล้อมรอบบริเวณรอบนี้จนหมดสิ้น จนไม่มีทางที่จหนีออกไปได้เลย รวมถึงเปลวเพลิงนั้นยังจะเข้าไปเปลี่ยนชุดที่เธอสวมอยู่เป็นชุดที่คล้ายกับชุดราชวงค์ที่เจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาดสวม แต่มีรายละเอียดตกต่างไปตามรอยไฟ
           ดวงตาของเธอเรืองแสงสีแดง ดาบเรเปียร์สะสมความร้อนไว้ทั่วทั้งเล่ม


           "ฉันจะแผดเผาไปถึงวิญญาณของเจ้า ไปจนไม่ให้เจ้าได้มีโอกาสไปสิงใครได้อีก!"


           เปลวอัคคีลุกโชดช่วง ทุกอย่างถูกกลืนเข้าไปในวังวนเพลิงสีชาด













           หมู่เมฆอึมครึมยังคงปกคลุมรอบปราสาท ความเงียบสงัดที่กลายเป็นเสียงปกติของปราสาท มีเพียงเสียงของฝีเท้าของเหล่าเจ้าหญิงและผู้บุกรุกที่กำลังมุ่งหน้าไปยังลานพิธี จุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมนี้ และสถานที่ที่จะจบเรื่องทั้งหมด


           ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก เหล่าเจ้าหญิงกลับมายังห้องจัดพิธี ที่ซึ่งยังคงมีร่างที่ถูกห้อยแขวนของเจ้าหญิงธริษตรี และเจ้าหญิงแห่งตรงกันข้ามอยู่ รวมถึงศพที่ผ่าเป็นซอกซีกของเจ้าหญิงแห่งอิสัตรีด้วย


           ..หรือว่าจุดหมายที่แท้จริงจะหมายถึงห้องลับ..


           "งั้นพวกเราก็-"


           "ไม่ต้องไปหรอกค่ะ เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน ไม่สิ คุณผู้ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่จำเป็นที่จะต้องกลับเข้าไปยังห้องนั้น" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงหยุดเมกุมิไว้ก่อนที่เธอจะเดินนำไป


           "หมายความว่ายังไงน่ะ ก็ห้องนั้นเป็นห้องที่มีความลับซ่อนอยู่ แปลว่าก็ต้องเป็นที่สำคัญในการแก้ไขปริศนานี้ไม่ใช่เรอะ ?"


           "ม..ไม่จำเป็นหรอกค่ะ" เจ้าหญิงแห่งหอคอยตอบแบบกล้า ๆ กลัว ๆ "ขืนพวกเราเข้าไปล่ะก็..คำสาป..กลไกจะทำงาน"


           "คำสาป..กลไก ?"


           "อย่างที่เจ้าหญิงแห่งหอคอยว่า คำสาปรองเท้าแก้ว จริง ๆ แล้วไม่ใช่คำสาป แต่เป็นชื่อกลไกวิธีในการเปิดประตูห้องลับต่างหาก"


           "อะไรนะ.." จ้าหญิงแห่งจันทราที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ แต่นางก็ยังพอที่จะได้ยินที่เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงพูด


           "ตอนนี้มีเจ้าหญิงที่ถูกฆ่าไปทั้งหมดสิบแปดคน และที่มีชีวิตอยู่มีอยู่เก้าคนพอดี" เจ้าหญิงพูดต่อ "เท่านี้ก็ครบเงื่อนไขในการปลดผนึกแล้ว ที่เหลือก็แค่ให้ใครสักคนลงไปเปิด"


           "ใครสักคนลงไปเปิด ?"


           "คำสาปรองเท้าแก้ว ก็หมายความอย่างที่เจ้าหญิงแห่งจันทราเคยบอกว่าเป็นเรื่องของความอิจฉาริษยาของเหล่าเจ้าหญิง แต่ว่าความอิจฉานั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเมื่ออยู่ในวันแห่งธริษตรีนี้เท่านั้น ที่บรรดาเหล่าเจ้าหญิงจมารวมกัน ณ ที่เดียวกัน"


           "หมายความว่า การที่ประตูแห่งความมืดมิดจะเปิดออกได้ ย่อมต้องทำให้เหล่ามิตรสหายของข้า ต้องเข่นฆ่ากันหรือสิ้นใจไปในค่ำคืนนี้เช่นนั้นสินคะ" เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลสรุป


           "ใช่ แต่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าหญิงทุกคนที่จะต้องตาย ก็เพียงแค่สองในสามของจำนวนทั้งหมด ผนึกก็จะเปิดออก ซึ่งก็เท่ากับจำนวนในตอนนี้"


           "ข้างในนั้นมีอะไรซ่อนอยู่งั้นรึ ?"


           "ความชั่วร้าย.." เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาพูดขึ้น
           "บางสิ่งที่ไม่ควรมีใครรับรู้ บางสิ่งที่ควรอยู่คงเช่นนั้นต่อไป บางสิ่งที่เป็นอันตรายเกิดกว่าที่จะออกมาสู่โลกภายนอก บางสิ่งที่สามารถนำพาจุดจบมาสู่โลกที่ถูกรังสรรค์ข้นแห่งนี้"


           คำกล่าวของคำพิพากษาทำให้บรรดาเจ้าหญิงพูดไม่ออก แต่เหล่านิวเจเนซิสนั้นหน้าถอดสีกันหมด


           "เรื่องเล่าป็นเพียงคำกล่าวอ้าง ชีวิตของเหล่าเจ้าหญิงเป็นเพียงเครื่องมือที่ไว้สำหรับเปิดผนึก และผู้ไขกุญแจประตูเท่านั้น"


           "ทั้งหมดนี้เจ้าหญิงรู้มาจากข้อความของเจ้าหญิงแห่งธริษตรีสินะ" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมพูดขึ้น พลางหันไปหาเจ้าหญิงที่ถูกแขวนอยู่ ณ เบื้องบน


           เจ้าหญิงแห่งจันทรารู้สึกใจไม่ดีที่เห็นนาง ยิ่งเมื่อผ่านเรื่องเหล่านั้นมา


           "แล้วทำไมถึงต้องมาที่ห้องนี้งั้นหรือ แบบนี้ก็เสี่ยงที่จะมีใครไปเปิดประตูได้นะ" เมกุมิสงสัย


           "เจ้าหญิง คุณเองก็รู้แล้ว เช่นนั้นมิจำเป็นต้องปิดบังแล้วล่ะ ประสงค์แห่งพระเจ้าคงต้องการให้เรานำพาแสงสว่างมาสู่ ณ ที่แห่งนี้เสียที" เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาพูดกับเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง


           "นั่นสินะ" เจ้าหญิงเดินออกมาด้านหน้าแล้วมองตรงไปที่เจ้าหญิงแห่งธริษตรี
           "เลิกแสดงละครแล้ว พวเราทราบแล้วว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าหญิงแห่งธริษตรีตัวปลอม!"


           "หา!?" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมร้องเสียงหลง ขณะที่เจ้าหญิงคนอื่น ๆ หรือกระทั่งนิวเจเนซิสทั้งสองก็แสดงสีหน้าตกใจไปด้วย มีเพียงเจ้าหญิงแห่งหอคอยและเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาที่ไม่ได้แสดงอาการตกใจอะไร


           "แสดงตัวออกมาได้แล้ว!" เจ้าหญิงเปล่งเสียงสั่งอีกครั้ง


           "หึ ๆ เก่งมากนะที่รู้เรื่องของข้าได้" ปากของเจ้าหญิงแห่งธริษตรีเกิดการขยับ จู่ ๆ ดวงตาของนางก็ลืมขึ้นอย่างกระทันหัน รอยยิ้มฉีกกว้างเหมือนกับครั้งที่เจ้าหญิงแห่งจันทราและเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาเจอเมื่อครั้งอยู่ที่ห้องลับ


           ร่างที่ห้อยแขวนอยู่ของจ้าหญิงแห่งธริษตรี(?) ค่อย ๆ ยืดยาว ย้อยลงมาที่พื้นราวกับงู พร้อม ๆ กันที่ ทั่วห้องต่างปรากฏงูสีเผือกปรากฏออกมาตามช่องหรือรูต่าง ๆ มากมายจนนับไม่ถ้วน


           พวกมันคืองูที่เจ้าหญิงแห่งจันทราหนีมา โดยที่ต้องแลกกับชีวิตของเจ้าหญิงถึงสองนาง


           ผู้ที่ไม่หวั่นไหวหรือกลัวเกรงใด ๆ มีเพียงเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง "เป้าหมายของเจ้าคือ สิ่งที่ข้างล่างนั่นงั้นสินะ"


           "อย่างที่ท่านว่านั่นล่ะเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงเอ๋ย" งูใช้ร่างของเจ้าหญิงแห่งธริษตรีในการพูด "พวกเราจำเป็นต้องใช้หนึ่งในพวกคุณมาเป็นกุญแจในการเปิดประตูเบื้องล่าง เพื่อนำสิ่งที่เราต้องการออกมา"


           "การที่เจ้าต้องใช้ร่างของเจ้าหญิงแห่งธริษตรี เพื่อใช้ร่างนั้นหลอกเจ้าหญิงแห่งตรงกันข้าม และเจ้าหญิงแห่งมากต, เพลิงสีชาด และภาพสะท้อนสินะ" เจ้าหญิงคาดเดา "ที่ทั้งสี่รวมถึงตัวเจ้าเองต้องจัดการเหยื่อให้อยู่ในสภาพเดียวกัน และพยายามปกปิดสาเหตุการตายของพวกนางจริง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการมีใครจะรู้ความจริงของอาวุธของตัวเจ้างั้นสินะ"


           "อาวุธที่แท้จริง.."


           เจ้าหญิงแห่งจันทรารู้ดีและพูดพึมพำขึ้นมาเบา ๆ "พิษ.."


           "เจ้าหญิงทั้งสี่ถูกพิษของเจ้าเข้า แล้วเมื่อพวกนางตายเจ้าก็จัดการศพของพวกนางให้เป็นอย่างที่เป็นในตอนนี้"


           "จนกระทั่งพวกเราไปพบสินะ.." เมกุมิย้อนนึกถึงตอนที่พวกเธอได้พบกับศพของเจ้าหญิงทั้งสาม แต่นั่นเป็นเหตุให้พวกเธอปลอมเข้ามาด้วยนามของเจ้าหญิงได้


           "เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกันแล้วล่ะ บทละครได้จบลงแล้ว ต่อไปขอแค่ข้าได้หนึ่งในพวกเจ้าหญิงมาเปิดประตูให้ก็พอ" งูกล่าว


           "ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นได้หรอก" เอเลนาก้าวเดินมาข้างหน้าเจ้าหญิง พร้อมกับสร้างหอกและวงแหวนขึ้นมาอยู่ในมือ


           "เมกุมิ ฝากดูแลพวกเจ้าหญิงด้วยนะ"


           "อืม เข้าใจแล้ว แต่ว่าตัวเอเลนาเองน่ะไหวรึเปล่า" เมกุมิรู้สึกเป็นห่วงเอเลนามากกว่า


           "ไม่ต้องห่วง ฉันจะ.." ชุดเจ้าหญิงที่หญิงสาวผมสีเขียวสวมอยู่ได้สลายหายไป สวมทับด้วยชุดที่ต่างออกไป ประกายแสงมีมากกว่าเื่อตอนสู้ก่อนหน้านี้"
           "..เอาจริงแล้วตอนนี้"


           "อาภรณ์แห่งแสงสินะ ถ้างั้นฉันก็.." เมกุมิเองก็เปลี่ยนแปลงชุดที่สวมไปเช่นกัน พร้อมหยิบชุดเครื่องสำอางขึ้นมาพร้อม


           "เหมือนประชดเลยนะคะ ที่ให้เหล่าผู้ขัดต่อการคงอยู่ต่อพระเจ้ามาช่วยเหลือเหล่าผู้นับถือพระเจ้าเช่นนี้" เจ้าหญิงแห่ง


           "ตอนนี้พวกนางไม่ใช่ตัวตนที่ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า หรือนิวเจเนซิส" เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลแย้ง "พวกนางเป็นมิตรสหายของพวกเรา"


           "ถึงจะเป็นนิวเจเนซิสผู้ถูกเลือก แต่ว่ามีภาระมากถึงขนาดนั้นก็คงจะขยับไม่ได้สะดวกนักหรอกค่ะ" เจ้าหญิงแห่งธริษตรีหมายถึงเหล่าเจ้าหญิงที่อยู่ข้างหลังเอเลนา


           "มันก็ยังไม่แน่หรอก ทั้งเมกุมิและโคโตฮะต่างเป็นเพื่อนคนสำคัญของฉัน และฉันก็ไว้ใจพวกเธอ รวมถึงพวกเจ้าหญิงด้วย" เอเลนาสะบัดหอกเกิดลมบาง ๆ ขึ้นในจังหวะเดียวกัน


           "ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะ.." ฝูงงูจำนวนนับไม่ถ้วนเลื้อยไปหาเจ้าหญิงธริษสตรี ในตอนนี้ใบหน้าของเจ้าหญิงได้ถูกลบไปอย่างหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงใบเกล็ดงูสีเผือกที่น่าขยะแขยง เสื้อผ้าธรรมชาติที่สวมอยู่หลอมละลายไปกับร่างกาย ร่างที่กำลังขยายขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นงูขนาดยักษ์ ที่มีถึงยี่สิบหกหัว


           "เอาล่ะนะ!" เอเลนาพุ่งเข้าไปยังหัวหนึ่งของงู แต่ก็มีสองหัวเลี้ยวไปสองด้านของทางพวกเจ้าหญิง


           "ไม่ยอมให้เข้ามาได้ง่าย ๆ หรอกน่า" เมกุมิหยิบแป้งออกมาจากชุดเครื่องสำอาง แล้วสาดผงสีทองไปรอบ ๆ ครอบคลุมตัวเองและเหล่าเจ้าหญิง


           แป้งกลายเป็นเกราะป้องกันที่สะท้อนการพุ่งเข้าใส่ของงูยักษ์ออกไป


           พอพวกมันตั้งลำจะพุ่งเข้าใส่ใหม่ หัวหนึ่งของมันก็ถูกตัดขาดออกในพริบตา


           เอเลนาย้อนกลับมา แล้วกระโดดพุ่งเข้าไปหาอีกหัวหนึ่ง ใช้หอกฟันเข้าไปใส่หัวข้างนั้นโดยไม่ยั้งมือ ในวินาทีต่อหัวงูก็ขาดออกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมเลือดที่โพยพุ่งออกมา


           หัวงูที่สามเข้ามาในจังหวะที่เอเลนากำลังเคลื่อนไหวช้าจากการโจมตีเสร็จ แล้วมันเข้าง่ำทั้งร่างของเธอในทันที


           ทว่าลำคอของมันก็มีแสงพุ่งทะลุออกมา แล้วส่วนหัวนั้นก็แน่นิ่งไปเหมือนอีกสองหัว


           หญิงสาวกระโดดออกมา หอกได้เปลี่ยนเป็นดาบไปแล้ว เธอนำวงแหวนกับดาบมาประกบกันแล้วตีลังกาม้วนตัวหลาย ๆ ครั้ง จนกลายเป็นเหมือนกรงจักรแล้วฟันผ่างูอีกหัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาในจังหวะเดียวกัน


           ในพริบตาเดียวเอเลนาก็จัดการหัวของงูไปได้สี่หัว


           "ความแข็งแกร่งนั่นเป็นของจริงงั้นสินะ แต่ว่า.." งูแสยะยิ้มเหมือนมันได้วางแผนบางอย่างไว้


           หนึ่งในหัวงู ตาของมักลายสภาพผิดแปลกไปจากหัวอื่น ๆ แล้วมันก็สาดแสงใส่ทั้งเอเลนาและเหล่าเจ้าหญิง


           "!?"










           "เจ้าหญิงคะ...เจ้าหญิงได้เวลาตื่นแล้วค่ะ"



           คนรับใช้สาวเข้ามาปลุกเจ้าหญิงแห่งจันทราที่เอาแต่นอนขี้เซาอยู่บนเตียงไม่ยอมลุก ทั้งที่ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว แต่คงเพราะว่าเตียงนอนนี้ของเหล่าเจ้าหญิงจะถูกออกแบบให้ตัวเจ้าหญิงได้หลับสบายอย่างที่สุด ทว่า..


           "..อัลกามาร์ ?"


           "เป็นหรือคะเจ้าหญิงทำไมถึงทำหน้าอย่างกับเห็นผีเช่นนั้นล่ะคะ" อัลกามาร์รู้สึกสับสนที่เห็นเจ้าหญิงมองมาทีตัวเองด้วยสีหน้าที่แปลกใจ


           "ไม่รู้สิ..เหมือนกับว่าไม่ได้คุยกับอัลกามาร์มานานมาก" น้ำตาของนางเริ่มคลอเบ้าและเริ่มไหลรินออกมา


           "เจ้าหญิงร้องไห้ทำไมล่ะคะ ?" อัลกามาร์ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจะเข้าไปดูอาการของเจ้าหญิง แต่ถูกนางเข้าสวมกอดเสียก่อน


           "..อย่าทิ้งฉันไปอีกเลยนะ"


           "เจ้าหญิง..ฝันร้ายสินะคะ" เจ้าหญิงพยักหน้าระหว่างที่ยังซบอยู่บนอกของเธอ 
      สาวรับใช้ลูบผมของเจ้าหญิงขี้แง 


           อัลกามาร์ปล่อยให้เจ้าหญิงแห่งจันทราร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ไปแบบนั้นอยู่สักพักหนึ่งโดยที่ไม่มีใครพูด หรือขัดจังหวะอะไรระหว่างนั้น


           "..."


           "เจ้าหญิงคะ..แล้วฝันร้ายของเจ้าหญิงเป็นอย่างไรหรือคะ" เสียงของอัลกามาร์ฟังดูเปลี่ยนไป


           "อัลกามาร์ ?"


           เจ้าหญิงยกหน้าออกมาจากตัวของอัลกามาร์ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ แววตาของเจ้าหญิงแห่งจัทราก็ถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำอีกครั้ง


           เมื่อร่างของอัลกามาร์ลุกเป็นไฟสีแดงชาด ส่งเสียงกรีดร้องทรมาณกับความร้อนที่เกินปรอทวัดได้


           "เจ้าหญิงคะ.."


           เสียงของหญิงสาวอีกคนมาจากทางขอบเตียง จันทราขยับเข้าไปใกล้ก็พบกับหญิงสาวในชุดเมดกำลังเกาะขอบเตียงอยู่ด้วยมือเดียว และข้างล่างนั้นเป็นเหวลึก


           "ซากิ!"


           "เจ้าหญิง..ช่วยฉันด้วย"


           "ซากิ จับมือฉันไว้" จันทรายื่นมือเข้าไปหาทันที แต่ซากิก็หมดแรงแล้วร่วงลงไปยังเหวลึกในเวลาเดียวกัน


          "ซากิ!! ไม่นะ..ไม่นะ.."


           "เจ้าหญิงแห่งจันทรา.." เสียงผสานรวม ๆ ที่มาจากเบื้องหลัง เรียกร้องให้เจ้าหญิงแห่งจันทราหันกลับไปมองอย่างหวาดกลัว
           จิตใจของนางแทบจะแตกกระเจิงเมื่อได้เห็นพวกนาง


           เจ้าหญิงแห่งสุริยันที่มีรอยแผลตามตัว และไส้ทะลักออกมาจากลำตัว แต่ยังยืนเหมือนคนปกติ, เจ้าหญิงแห่งความตายที่อยู่ในอ้อมมือของนางกำลัังจ้องมาที่นางด้วยดวงตาที่เบิกโต, เจ้าหญิงแห่งตรงกันข้ามที่ถูกห้อยหัว, ร่างสองซีกของเจ้าหญิงอิสัตรีที่ต่อกันไม่สนิท, เจ้าหญิงแห่งความรักที่หัวจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่, เจ้าหญิงแห่งความชั่งใจที่ใบหน้าถูกผ่าเป็นครึ่งซีก, เจ้าหญิงแห่งโชคชะตาที่โชกไปด้วยเลือด, เจ้าหญิงแห่งดุริยางค์ไม่เหลือขาแล้วพยายามคลานเข้าหาเธอ,เจ้าหญิงแห่งราชรถที่กลายเป็นเหมือนอสูรกายแมว, เจ้าหญิงแห่งพละกำลังที่สีผิวซีดเผือก แต่ปรากฏเส้นเลือดที่กลายเป็นสีม่วงอยู่ใบทั่วทั้งใบหน้าและทั้งตัว และเจ้าหญิงแห่งความเขลาถูกงูกัดฉกพันรัดอยู่ทั่วตัว


           "อย่านะ อย่านะ"


           "เพราะเธอ..ทำให้พวกเราต้องตาย"


           "ไม่นะ ไม่ใช่ฉัน"


           "เพราะเธอ..นางเจ้าหญิงน่าสมเพช"


           "ไม่..ไม่ใช่!!"


           



           






           "อ๊ากกกกก!!!!!"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรากรีดร้องสุดเสียง ภาพแห่งความกลัวและดำมืดถาโถมโจมตีนางอย่างไม่หยุดสิ้น ความตายของเหล่าผู้คนที่นางได้พบเจอทำให้สติของนางแทบถูกทำลาย เพียงแต่ว่าไม่ได้มีแค่นางเท่านั้น..


           "พี่..พี่..อย่าทิ้งหนูไป หนูไม่อยากอยู่คนเดียว!"


           "เจ้าหญิงแห่งปัญญา ทำไมต้องฆ่าเจ้าหญิงแห่งปัญญาด้วย!?"


           "ฮะ ๆ ๆ ขนมเต็มไปหมดเลย ของเล่นสนุกเต็มไปหมดเลย โลกนี้มีแต่เรื่องน่าสนุกเต็มไปหมดเลย"


           เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์, เจ้าหญิงแห่งดวงดารา และเจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัยแสดงอาการที่คล้าย ๆ กับเจ้าหยิงแห่งจันทราด้วยเช่นกัน


           "อึ่ก นี่มัน" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมจับศีรษะตัวเองด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ยังไม่ถึงกับเป็นเหมือนอีกสี่คน


           "ปวดหัวจังเลย.." เจ้าหญิงแห่งหอคอยเหมือนจะทนความเจ็บปวดนี้ไม่ได้จนถึงกับล้มคุกเข่า


           "ไม่เป็นไรนะ หอคอย" ยุติธรรมยอตัวลงแล้วพยายามอยู่ข้าง ๆ กับนางเพื่อไม่ให้นางเป้นอะไรไป แล้วก็เพื่อคุมสติของนางเอาไว้ด้วย


           "การโจมตีทางจิตใจรึ ทว่ารุนแรงมาก หากเผลอปล่อยจิตไปแม้แต่ชั่วครู่เดียวล่ะก็.." เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลยังดูปกติ แต่จากสีหน้านั้นก็ทำให้ทราบว่านางต้องพยายามฝืนทนกับภาพลวงตานั้นมากแค่ไหน


           "..." เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษายืนนิ่ง นางเป็นคนเดียวที่ดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางจิตที่ว่านั่น


           "แค่ก ๆ ๆ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงเองก็รับผลไปเฉกเช่นเดียวกับเจ้าหญิงคนอื่น ๆ แต่นางก็ยังพอทนไหว
           "ของแค่นี้.."


           ไม่ใช่เพียงบรรดาเหล่าเจ้าหญิง แม้แต่นิวเจเนซิสอย่างเอเลนาและเมกุมิ เองก็รับผลจากภาพลวงตาเข้าไปด้วยเช่นกัน


           "อ้า~! ควบคุมสติและควบคุมพลังไปด้วยแบบนี้ บางทีก็หนักเกินไปเหมือนกันนะ" เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนข้างหน้าผากของเมกุมิ แต่ก็ยังพยายามฝืนที่จะกางเกราะป้องกันสำหรัยตัวเองกับเหล่าเจ้าหญิงไว้


           "เอเลนา เป็นอะไรรึเปล่า ?"


           เอเลนคุกเข่าเกาะดาบและหายใจหอบอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่เธอก็ชักสีหน้ากลับมาเป็นปกติได้อย่างฝืนทน "อืม ไม่เป็นไร ฉันยังไหว"
           ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่จากสภาพที่เห็นแล้ว ตัวเธอเองก็คงจะไม่ต่างไปจากคนอื่น ๆ


           "จะทนไปได้สักกี่น้ำ ถ้าแบบนี้ล่ะ" งูที่ยังเหลือสภาพร่างของเจ้าหญิงธริษตรีดีดนิ้ว


           เสียงนั้นดังไปถึงหูของเหล่าเจ้าหญิงที่อยู่ภายใต้เกราะของเมกุมิ แต่เหล่าเจ้าหญิงที่ปกตินั้นไม่ได้เกิดผลอะไรขึ้น คนที่เกิดคือเจ้าหญิงที่ถูกผลของการโจมตีทางจิต อย่างเจ้าหญิงแห่งดวงดารา, เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย และเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์


           "ถ้าไปทางนั้น..จะได้พบกับเจ้าหญิงแห่งปัญญา..งั้นหรือ.."


           "อืม หนูต้องไปทางนั้นสินะ แล้วถึงจะมีความสุขรออยู่


           "พี่..พี่..พี่!"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรายังคงนั่งปวดหัว ไม่เหมือนกับอีกสามคน
           ขณะนั้นเองเจ้าหญิงทั้งสามก็เข้าไปจับตัวของเมกุมิ


           "เดี๋ยว เจ้าหญิง..คิดจะ..ทำอะไรน่ะคะ"


           "ฉันจะต้องรีบไปหาเจ้าหญิงแห่งปัญญา!" ดวงดารายื่นมือเข้าไปบีบลำคอของเมกุมิ


           "หนูต้องรีบไปแล้ว เสียงเขาบอกมาแบบนั้น" เยาว์วัยจับแขนของเธอข้างที่ถือชุดเครื่องสำอาง


           "พี่คะ..พี่คะ!" เวทมนตร์ผู้น้องรัดขาไม่ยอมให้ขยับไปไหน


           สำหรับนิวเจเนซิสในยามปกติแล้ว คงจะไม่มีปัญหากับเรื่องแค่นี้ แต่ว่าตอนนี้เมกุมิต้องรับมือกับการโจมตีทางจิตใจ, การสร้างเกราะป้องกันเหล่าเจ้าหญิง และยังต้องฝืนรับการเข้าจู่โจมของเหล่าเจ้าหญิงอีก


           "นี่พวกเธออย่า..อ้ากก!" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมที่คิดจะเข้าไปช่วย แต่ผลของอาการก็ยังคงเล่นงานนางจนไม่สามารถเดินไปได้


           "แค่ก ๆ ๆ" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงไอกระอ่อกกระแอ่ก และทำได้เพียงมองดูเจ้าหญิงสามนางเข้าไปทำร้ายนิวเจเนซิส


           "เมกุมิ!" เอเลนาที่เห็นเมกุมิกำลังลำบากเผลอหันความสนใจกลับมา งูหนึ่งสบโอกาสจึงพุ่งเข้าจู่โจมโดยที่ไม่ให้ระวังตัว


            ปฏิกิริยาตอบสนองของเอเลนาตอบสนอง เธอชักตัวกลับมาแล้วฟันดาบผ่าเข้าไปกลางหัวของมันขนขาดเป็นสองซีกในทันที


           "แฮ่ก ๆ ๆ" แต่เพราะการที่ต้องตอบสนองเร็วแบบนั้นจึงทำให้เธอเหนื่อยหอบยิ่งกว่าเดิม


           ในจังหวะที่ช้าลง งูสองหัวก็พุ่งผ่านเอเลนาไปข้างหลัง


           "แย่แล้ว!" หญิงสาวจะตามไป แต่ไม่ทันเสียแล้ว


           เกราะของเมกุมิอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะการรบกวนของเจ้าหญิงทั้งสาม หัวงูที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วนั้นทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อที่จะทำลายเกราะนั้นทิ้งลง


          "พอได้แล้วเหล่าเจ้าหญิงผู้หลงทางเอ๋ย" เจ้าหญิงแห่งคำพอพากษาที่เป้นคนเดียวที่ไม่รับผลจากการโจมตีทางจิตเข้ามาแตะที่ศีรษะของเจ้าหญิงเด็กทั้งสอง ทำให้พวกนางสลบหลับลงไป


           จากนั้นนางก็สัมผัสเจ้าหญิงแห่งดวงดาราทำให้นางสลบไปอีกคน


           เมกุมิไอหลังจากที่เพิ่งถูกบีบคอหมาด ๆ "ขอบในจะ คำพิพากษา"
           "ถ้าอย่างนั้น!" เธอรีบใส่พลังลงไปยังเกราะ แต่ว่าดูเหมือนจะไม่ทันการเพราะหัวงูเหล่านั้นกำลังจะใกล้เข้ามาอีกไม่ช้า..


           เวลาเหมือนช้าลง เหล่าเจ้าหญิงได้แต่มองดูความตายที่กำลังจะเข้าหาพวกนาง แม้แต่เมกุมิก็ไม่อาจเก็บอาการตกใจบนใบหน้าไว้ได้


           "แฉ่!" งูแผดเสียง อ้าปากให้เห็นเขี้ยวขนาดยักษ์ของมันที่กำลังเข้าหาพวกนาง


           ซู้มม!


          กระสุนเพลิงสีฟ้าพุ่งผ่านอากาศ เข้าใส่หัวหนึ่งของงู แล้วพุ่งทะลุผ่านออกไป พริบตานั้นหัวข้างนั้นก็แน่นิ่งลงไปทันที


           ในเสี้ยววินาทีเดียวกัน ร่างสีดำก็ปรากฏขึ้น ณ ตรงนั้น พร้อมตวัดฟันดาบที่อาบไปด้วยเพลิงสีฟ้า ตัดหัวของงูจนขาดสะบั้นและลอยข้ามศีรษะพวกเจ้าหญิงกับเมกุมิไป


           "!?"


           เงาสีดำ มือซ้ายเป็นกระบอกปืนขนาดใหญ่ มือขวาถือดาบคาตานะยาว เมื่อสะบัดดาบเล่มนั้นเพลิงสีฟ้าที่อยู่ดาบก็ถูกขจัดไปจนหมดสิ้น มันส่องสายตาสีฟ้าอ่อนไปหาพวกเจ้าหญิง


           เอเลนากับเมกุมิเพียงแค่เห็นก็รู้ได้ทันทีถึงตัวตนของนาง ไม่เว้นแม้แต่งูเอง


           "ปีศาจ.."


           ปีศาจชักหน้ากลับไปหางูกับหัวทั้งสิบเก้าของมัน แล้วยกปืนขึ้นเล็ง "ตรวจพบตัวอันตรายระดับเจ็ด ยกเลิกภารกิจชั่วคราวและเริ่มทำการกำลังตัวอันตรายที่อาจเป็นตัวขัดขวางภารกิจ"


           พูดเสร็จ เปลวเพลิงสีฟ้าก็เข้าอาบดาบและบรรจุกลายเป็นกระสุนปืนอีกครั้ง แล้วมันก็กระโดดออกพุ่งตัวออกไป...














           ฟิ้ว!!


           กรงเล็บกรีดผ่านอากาศ ปลายดาบแทงทะลุเปลวอัคคี 


           สีข้างของอสูรกายถูกแทงผ่านเป็นรอยถาก แขนเสื้อของนิวเจเนซิสถูกข่วนจนขาดหวิ่น


           ปลายดาบเรเปียร์ชักกลับมาแล้วแทงลงพื้น เพลิงสีชาดผุดออกมาจากพื้นดินเพื่อจะแผดเผาร่างของอสูรแมว แต่มันไหวตัวทันแล้วกระโดดถอยหนีไปขอบผนังเพลิง โดยที่มันยังไม่ไปโดนตัวผนัง


           "เกือบไป ๆ ถ้าโดนไฟนั่นไปล่ะก็มีหวังร่างนี้ได้ถูกเผาเป็นตอตะโกอีกร่างแน่ ๆ"


           "บอกไปแล้วนี่ว่าไม่ได้แค่เผาแค่ร่าง แต่จะเผาไปทั้งจิตวิญญาณของเจ้าด้วย" โคโตฮะดึงดาบเข้าข้างเอวขวาทำท่าเหมือนกำลังจะง้างธนู


           "เข้ามาเลย!"


           เพลิงสีแดงไปกระจุกอยู่ที่ปลายดาบ แล้วเมื่อเธอแทงดาบใส่ก็เป็นการยิงเข็มสีแดงพุ่งทะลวงใส่


           อสูรแมวใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเบี่ยงตัวหลบเส้นที่มีแต่ความร้อนได้อย่างหวุดหวิด ตัวมันที่ทำท่าเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่กลับตั้งหลักในพริบตาเดียวกัน แล้วเคลื่อนไหวสลับไปมาสร้างความปั่นป่วนแล้วเข้าโจมตีใส่โคโตฮะในฉับพลัน


           เอวด้านซ้ายถูกกรงเล็บทิ่มแทงไปถึงชั้นเนื้อแล้วถูกข่วนผ่าน น้ำโลหิตพรุ่งพรู่ออกพร้อม ๆ กัน


           รอยแสยะยิ้มของแมวที่มันสามารถโจมตีเข้าตัวของโคโตฮะได้สำเร็จ


           ทว่ามันไม่ได้ทันตั้งตัวหลังจากนั้น เมื่อหยดโลหิตที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศนั้นเกิดประกายไฟขึ้น แล้วกลายเป็นเพลิงสีชาดโจมตีสวนอสูรแมวกลับไป จนร่างมันถูกเผาไปบางส่วน


           "น..นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?"


           โคโตฮะกดแผลส่วนที่ถูกข่วน "ที่เขาว่ากันว่าไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี ๆ ยังไงล่ะ เลือดของฉันก็เป็นข้อพิสูจน์ของเรื่องนั้นได้"


           "แกนะแก!" อสูรแมวเคลื่อนไหวสลับไปมาให้เร็วยิ่งขึ้น จนไม่อาจมองด้วยตาเปล่าทัน


           แต่โคโตฮะก็ไม่ได้หวั่นไหว เธอทำท่าตั้งดาบเหมือนเดิม เพลิงสีชาดรวมอยู่ที่ปลายดาบ เมื่อพร้อมแล้วเธอก็ยิงออกไปอีกที


           "ไม่ได้ผลหรอก" แมวเบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง มันเตรียมพร้อมที่จะโจมตีใส่โคโตฮะแบบคิดบัญชี


           แต่ว่า..


           เข็มสีแดงพุ่งทะลุผ่านร่างของแมวไปสองจุดขณะที่มันค้างอยู่กลางอากาศ แล้วทำให้มันร่วงลงสู่พื้นในทันที


           "แค่ก!" แมวในร่างของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์กระอักเลือด ใบหน้าของมันยังเต็มไปด้วยความสงสัย พลางส่งสายตาไปหาโคโตฮะ
           "..นี่แกทำอะไร.."


           "ผนังเพลิงสีชาดของฉัน ไม่ได้เพียงแค่ป้องกันไม่ให้ใครเข้า-ออกไปจากที่นี่ได้ แต่ว่าสามารถซึบซับไฟที่ฉันยิงออกไปได้ แล้วทำการสะท้อนการโจมตีที่พลาดไปกลับมาได้ทั้งหมด"


           "ล..เล่นพาศัตรู..เข้ามาในพื้นที่ได้เปรียบแบบนี้..เล่นสกปรกจังเลยนะ"


           "..."


           ฉึ่ก!


           โคโตฮะแทงเข้าศีรษะของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ ด้วยสีหน้าที่นิ่งเย็นชา แต่คำพูดของเธอก็ยังแฝงไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ "ไปสู่สุขคติเสียเถอะค่ะ เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์"


           ร่างของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์แน่นิ่งไปสมบูรณ์ ร่างของนางใช้การไม่ได้แล้ว ร่างวิญญาณของอสูรแมวออกมาจากร่างแล้วคิดจะหนีไปหาร่างใหม่


           "เดี๋ยวพวกเรามาสู้กันใหม่ยายเพลิงสีชาด ข้ายังเหลืออีกห้าชีวิตที่จ-อ๊ากก!?" วิญญาณที่กำลังจะหนีไป ถูกผนังเพลิงสีชาดสกัดไม่ให้มันออกไป


           "ท..ทำไมกัน ทำไมข้าถึงออกไปจากที่นี่ไม่ได้!?"


           "ร่างของเจ้าคือวิญญาณงั้นสินะ เพราะฉะนั้นที่นี่ ไม่สิ พลังของเหล่าเจเนซิสก็ล้วนเป็นแต่สิ่งที่เจ้าแพ้ทางทั้งหมด เมื่อใดที่พวกเราสวมอาภรณ์แห่งแสงนี้ จิตวิญญาณของพวกเราทั้งหมดจะหลอมรวมเข้ากับร่างกาย และสาเหตุที่พวกเรามีพลังขึ้นมาได้นั้นก็มาจากสิ่งเดียวกัน"
           โคโตฮะตั้งดาบขึ้น


           "เดี๋ยว..เดี๋ยวก่อน.." วิญญาณแมวพยายามขอความเมตตา


           "พวกเราคือนิวเจเนซิส เป็นผู้ที่ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรเพื่อชัยชนะแล้ว..พวกเราก็ยอมทำหมดทั้งนั้น"


           "หยุดนะ!!"


           โคโตฮะเอามือที่เปื้อนด้วยเลือดมาลูบดาบเรเปียร์ของตน ทำให้ดาบอาบไปด้วยไฟที่รุนแรงขึ้น แล้วเธอก็แทงดาบขึ้นไปบนฟ้า


           กำแพงเพลิงทั้งหมดเคลื่อนเข้าหาตัวเธอ วิญญาณของแมวถูกรวมไปกับผนังเพลิงด้วย ทุกอย่างผสมปนเปกันอย่างไม่มีรูปมีร่าง สุดท้ายทั้งหมดก็ถูกส่งขึ้นไปด้านบนทะลุผ่านเพดานของปราสาทไปจนถึงเมฆหมอกสีดำที่ปกคลุมทั่วทั้งปราสาทธริษตรี


           โคโตฮะบิดด้ามดาบ เพลิงสีชาดก็หายไปทั้งหมด


           เธอชายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า เพดานของปราสาทกลายเป็นรูวงกลม ขอบ ๆ ที่ถูกเผาไม่มีไฟติดแต่จากสภาพนั้นทำให้รู้ได้ว่าถูกหลอมละลายไปด้วยความร้อนมากแค่ไหน แต่สายตาของเธอก็มองไปไกลกว่านั้น..ยังหมู่เมฆที่อึมครึม


           "แม้จะโจมตีไปแบบนั้นเมฆนั่นก็ยังไม่หายไปงั้นรึ" ดาบของโคโตฮะกลายเป็นสะเก็ดไฟแล้วสลายไป
           "รีบตามพวกเอเลนาไปน่าจะดีกว่า"


           หญิงสาวเพลิงสีชาดไม่พักแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังห้องพิธีเพื่อสมทบกับพวกนิวเจเนซิสและเจ้าหญิงที่เหลือทันที














           ฉวับ!


           หัวงูขาดสะบั้นออกจากส่วนลำคอแล้วทำให้มันแน่นิ่งลงไปในทันที
           นับเป็นหัวที่ห้าที่ปีศาจเป็นผู้จัดการ เธอยืนอยู่บนหัวที่ตัดทิ้งไปเป็นหัวที่สี่ และยังไม่มีท่าทีที่จะหยุดพัก


           ในขณะที่เอเลนาที่แค่ฝืนทนอาการในตอนนี้ก็แทบจะสุดขีดจำกัดแล้ว ทำให้เธอไม่ได้ทำอะไรมากเท่าไรหลังจากที่ปีศาจเข้ามาร่วมสู้ด้วย


           "ใครจะยอมอยู่เฉย ๆ กันล่ะ" เอเลนาอาศัยความไม่ยอมแพ้แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง


           เธอใช้วงแหวนยิงกรงจักรใส่หัวงูจำนวนหนึ่ง แล้วอาศัยจังหวะนั้นหมุนตัวเป็นพายุพร้อมกระโดดขึ้นไป ใช้แรงหมุนฟันดาบเฉือนส่วนปากของงู จนเลือดของมาไหลทะลักออกมาแล้วร่วงลงไปอีกหัว


           ปีศาจมองดูนิวเจเนซิสด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่เธอก็ตอบสนองกับหัวงูที่พุ่งมาหาเธอในอย่างอย่างฉับไวด้ยการกระโดด จากนั้นก็ตามด้วยการยิงทะลวงลงไปทำให้หัวงูสิ้นไปทันที


           งูที่ยังเหลืออยู่สิบสี่หัว ยังไม่มีทีท่าที่จยอมแพ้
           มันปล่อยสองหัวเข้าโจมตีทั้งสองจากด้านหน้า 


           เอเลนากางประกายแสงรับการโจมตีเอาไว้ ปีศาจตั้งดาบขึ้นต้งรับเขี้ยวของมัน แต่เมื่อการเคลื่อนไหวของพวกเธอถูกหยุดเอาไว้ จึงเปิดโอกาสให้งูอีกหัวเลื่อยมาจากด้านข้างแล้วลอบโจมตีใส่พวกเธอ


           "แ-!"


           เสียงร้องที่ขาดช่วงไปเสียแบบนั้น หัวงูหยุดนิ่งและตายไปโดยที่เอเลนาและปีศาจยังไม่ได้ทำอะไร แม้แต่ตัวงูและเหล่าหญิงกับเมกุมิเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากแต่เมื่อมองดูดี ๆ แล้วจะเห็น..


           ปลายของแหลมบางอย่างคล้ายมีดคัตเตอร์แทงทะลุส่วนลำคอมาจนถึงส่วนปาก เมื่อไล่มองดูกลับไปก็จะรู้ว่ามันมาจากผนังฝั่งหนึ่ง


           ตู้ม!!


          ผนังกำแพงแหลกเป็นเสี่ยง ๆ เศษอิฐและเศษหินแตกกระจาย
          ปรากฏเงาของบุคคลผู้หนึ่ง เธอเดินเข้ามาในห้องจัดพิธีพร้อมน้ำเสียงที่เบื่อหน่าย "กว่าจะหาปาร์ตี้เจอ เล่นมาจัดกันห่างจากที่ข้าเข้ามาตั้งไกลแบบนี้ รู้ไหมว่ามันน่าโมโหแค่ไหน"


           ปลายมีดคัตเตอร์ที่หดกลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ คนคนนั้นเอามาเลียเลือดที่มีดอย่างโรคจิต


           "คนคนนั้น.."


           "ใครกันน่ะ ?" 


           เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงและเมกุมิที่ไม่ทราบถึงตัวตนของอีกฝ่าย แต่ว่าเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษากลับสามารถตอบคำถามนั้นได้


           "
      เมื่อใดที่ความดีไม่อาจมาช่วยเหลือสิ่งใดบนโลกได้ ความชั่วจึงต้องเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทน"


           "คำกล่าวนั่นหรือว่า.." เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลก็ดูจะเข้าใจแล้ว นางเปล่งเสียงที่ไม่ได้ดังมากแต่ได้ยินทุกคนออกมาด้วยความตื่นตกใจ
           "ยมฑูต.."


           "ยมฑูต ?"


           "ยมฑูต" แม้แต่เอเลนาเองก็ทวนชื่อนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว


           "เห ปาร์ตีนี่ดูน่าสนุกดีนะ มีทั้งนิวเจเนซิสแล้วก็ปีศาจอีกด้วย" ยมฑูตยิ้มนึกสนุก "แต่ว่าแกเป็นใคร พอดีข้าไม่ได้มีดวงตาเทพธิดาเหมือนกับเจ้าพวกบนสวรรค์นั่นเลยระบุเผ่าพันธุ์ไม่ได้ แต่ว่าข้าไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์ที่มีความผิดปกติอย่างเจ้ามาก่อน จะว่าเป็นเผ่าพันธุ์งูที่ข้าเคยเห็นมาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างมันต่างออกไป"


           "นั่นสินะคะ พวกเราเป็นใครกันแน่..ว่าแต่ท่านยมฑูตท่านมีเหตุอันใดถึงต้องมายังปราสาทแห่งนี้งั้นรึคะ ?"


           "ไม่เห็นต้องถามเลย" ยมฑูตฉีกยิ้ม "ก็มาเพื่อเล่นสนุกกับการฆ่าพวกแกยังไงล่ะ"


           ทันใดนั้นก็มีหัวงูหนึ่งหัวกำลังพุ่งลงมาจากเหนือศีรษะของยมฑูต แต่เพียงเธอเปิดมีดคัตเตอร์ออกมา ปลายมีดคัตเตอร์นั้นก็ยืดยาวเสียจนเป็นไปไม่ได้ แล้วแทงทะลุหัวของงูและยังสลับฟันปลาทะลวงไปอีกห้าชั้นจนมันตายคาที่อยู่กลางอากาศ


           "!!" เอเลนารู้สึกตัว เธอก็สลายแสงออกแล้วใช้ดาบฟันเป็นรูปไม้กางเขน จนหัวงูขาดออกเป็นสี่ส่วน


           ปีศาจเองก็สะบัดดาบขึ้น เพื่อสะท้อนหัวออกไป แล้วกระโดดลงมาแทงเข้ากลางหัวของมันให้มันแน่นิ่งไป


           เหลือหัวอีกสิบหัว เพียงแค่สู้กับคนเดียวก็มากเกินพอแล้ว แต่นี่ยังต้องมาเจอถึงสาม งูไม่มีโอกาสที่จะชนะได้เลย


           งูทุ่มการโจมตีอีกเก้าหัวใส่เพื่อจัดการในทีเดียว


           ยมฑูตเอามืออยู่ในกระเป๋าเสื้อ ปลายมีดคัตเอร์ก็ผุดออกมาจากผืนดินนับไม่ถ้วน


          หัวสี่หัวที่ตรงไปทางเธอถูกมีดเหล่านั้นเพิ่งเห้นการโจมตีเช่นั้นจึงหยุดไว้ไม่ทันแล้วถูกทิ่มแทงใส่กลางอากาศ


           หัวทั้งสี่ตายคาอากาศโดยที่ยังห่างจากตัวของเธอไปอีกหลายเมตร ในสภาพที่ทั้งหัวแทบจะไม่เหลือสภาพเค้าเดิมหลงเหลืออยู่เลย


           เมกุมิที่เห็นภาพนั้นก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่


           ขณะที่ปีศาจวิ่งตรงเข้าไป มีหัวงูทะยานเข้ามา เธอกระโดดตีลังกาหลบไปบนอากาศ อีกสองหัวพุ่งตามเข้ามา ปากกระบอกปืนเล็งยิงแล้วกระหน่ำยิงกระสุนเพลิงสีฟ้าเล็ก ๆ ใส่ ทำให้สายตามันพร่ามัวจนพลาดที่จะโดนตัวปีศาจ


           เงาสีดำไปอยู่เหนือหัวทั้งสามได้สำเร็จ ดาบถูกอาบไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้า แล้วมันก็ลงมาฟาดฟันใส่หัวทั้งสามในพริบตา


           ทุกอย่างเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่หัวทั้งหมดจะปรากฏเลือดที่ไหลทะลักออกมาเป็นน้ำพุ ตามด้วยเพลิงสีฟ้าที่ไหม้พวกมันซ้ำอีกทีจากทั้งข้างในและข้างนอก


           หัวงูอีกสองหัวที่เข้าหาเอเลนา หญิงสาวเรียกดาบสองปลายออกมาฟันเฉือนร่างของหัวแรกพร้อมวิ่งผ่านไปอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็เรียกหอกออกมาแทงอีกหัวพร้อมถูกแรงปะทะทำให้ถอยร่นลงไป แต่ก็ยังฝืนกระโดข้ามหัวที่จัดการไปแล้วทั้งหมด ตรงไปยังหัวสุดท้ายที่เป็นหัวหลักที่ใช้พลังดวงตาโจมตีจิตใจเธอและพวกเจ้าหญิงอยู่


           "จบล่ะนะ!" เอเลนาสร้างดาบขึ้นมาแล้วประกบกับวงแหวน


           ตัวดาบเปล่งประกายออกมาเจิดจ้ากว่าทุกครั้ง


           หญิงสาวฟันดาบเป็นรูปตัวบวกใส่ในทันที


           แสงสว่างลบล้างแสงจากหัวงูนั้น ทำให้ทั้งหัวสูญสลายหายไปในการโจมตีครั้งเดียว






           "อาการปวดหัว.."


           "หายไปแล้ว"


          
        การทำลายหัวที่เป็นศูนย์กลางได้สำเร็จก็ยังส่งผลให้เหล่าเจ้าหญิงและเมกุมิหายจากอาการ รวมถึงตัวเอเลนาเองด้วย


           "แฮ่ก ๆ ๆ" หญิงสาวหอบหายใจหลังจากที่ต้องฝืนทนอาการมาสักพัก แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว


           ปีศาจและยมฑูตมองนิ่งเพราะไม่รู้ว่าพวกเจ้าหญิงหรือคนอื่น ๆ เป็นอะไร


           ทว่า..


           "..พวกเจ้า..ข้าแค้นจริง ๆ..แค้นพวกเจ้า..เพราะพวกเจ้า.." ยังมีเสียงออกมาจากกลุ่มควันระเบิดที่เอเลนาลงมือทำลงไป พอควันเริ่มจางลงก็พบเห็นงูในร่างของเจ้าหญิงธริษตรี
      แต่ว่าสภาพของมันก็กึ่งเป็นกึ่งตายอยู่แล้ว


           "ยังไม่จบ..ข้ายัง..ข้ายังทำประโยชน์..ข้ายังแค้นพวกเจ้า.."


           เอเลนาพร้อมที่จะสู้อีกรอบ แต่พอเห็นสภาพของงูแล้วเธอก็ไม่มีใจจะสู้ต่อเลย


           "..." หญิงสาวหันหลังกลับและเดินออกไป


           "เดี๋ยวสิ..ข้ายังสู้ไหว..ข้ายังไม่แพ้.."


           เจ้าหญิงแห่งมรกตปลอมไม่สนใจเสียงของเจ้าหญิิงแห่งธริษตรีปลอมอีกต่อไป ปีศาจเองก็ดูจะไม่ได้สนใจหรืออะไรเสียเท่าไร เพราะเธอไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ออกมาเลย ในขณะที่ยมฑูตส่งเสียง 'เชอะ' และทำหน้าไม่พอใจ


           "พวกแก..กลับมาสู้กับข้า..ข้ายังสู้ได้..ข้ายังแค้นพวกเจ้า ข้ายั-!?"


           ฉึ่ก!


           .
           .
           .
           .



           พริบตาที่เสียงเงียบไป เอเลนาก็หันควับกลับไป เมกุมิและเหล่าเจ้าหญิงต่างเบิกตาโพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหญิงแหงเจ้าหญิงที่ดูตกใจกว่าคนอื่น ๆ


           ปลายคมเคียวสีขาวแทงทะลุกลางอกของเจ้าหญิงธริษตรีปลอม พร้อมกับสตรีร่างสีขาวที่ปรากฏเบื้องหลังของนาง
           "บทละครของเจ้าหมดลงเพียงเท่านี้ล่ะ เมื่อหมดหน้าที่ก็รีบไสหัวไปได้แล้ว"


           "จ..จะ..เจ้า"


           ปลายเคียวถูกดึงออกมาจากร่าง แล้วสตรีสีขาวก็ตวัดเคียวเอาศีรษะของเจ้าหญิงไป


           "นับเป็นครั้งที่สองที่ข้าได้สังหารเจ้าแล้วสินะ แต่ว่าในเมื่อผู้นี้เป็นเพียงร่างปลอมก็อาจจะไม่ต้องนับก็ได้"



           หัวของเจ้าหญิงที่ร่วงหล่นสู่พื้น พริบตานั้นทั้งส่วนหัวและร่างกายต่างก็ถูกสลายกลายเป็นหมอกควันในบัลดล


           เลือดที่เปื้อนติดอยู่บนผิวสีขาวเนียน นางเอานิ้วแตะแล้วลองนำมาเลียเล่น


           "คนคนนั้น.."


           "เจ้าหญิง ?" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม


           "คนคนนั้นคือ..คนที่สังหารเจ้าหญิงแห่งธริษตรี"


           คำกล่าวของเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงทำให้เจ้าหญิงคนอื่นต่างหันมาทางเดียว ไม่เว้นแต่เมกุมิ กับเอเลนาที่ชายตากลับไปมองเล็กน้อย


           เจ้าหญิงขยับปากและส่งเสียงเรียกชื่อนั้นออกมาเบา ๆ "ผู้ไม่..สมบูรณ์"


           "ถูกต้องแล้วค่ะ เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิง" ผู้ไม่สมบูรณ์ปักเคียวลงพื้นแล้วโค้งทักทายเหล่าผู้อยู่เบื้องล่างแท่นพิธี
           "ยินดีที่ได้รู้จัก เหล่ายมฑูต, ปีศาจ, นิวเจเนซิส และเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรทั้งหลาย ตัวข้านั้นคือผู้ไม่สมบูรณ์ และเป็นผู้ไม่มีนามกล่าวเรียก เพราะตัวข้าเป็นเพียงจินตนาการที่กำเนิดมาเพื่อคุ้มครองเขาผู้นั้นเพียงเท่านั้น"


           "หมายความว่าอย่างไรเจ้าหญิง เธอคนนั้นเป็นใคร แล้วทำไมเธอถึงเป็นคฆ่าเจ้าหญิงแห่งธริษตรีได้"


           "ศพของเจ้าหญิงแห่งธริษตรีน่ะ ไม่มีเหลืออยู่แล้ว เป็นเพราะผู้ไม่สมบูรณ์ได้จัดการไปจนหมดสิ้นเพื่อปกปิดหลักฐานทั้งหมด ในวันที่นางได้เริ่มเขียนจดหมายข้อความสุดท้าย"


           เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมนึกออก เพราะเนื่องจากจดหมายของเจ้าหญิงตอนลงชื่อท้ายนั้นชื่อได้ขาดหายไป สาเหตุนั้นก็มีแต่ถูกฆ่าในระหว่างนั้นเท่านั้น


           ส่วนสาเหตุที่ไม่มีเลือดเลยก็คงเป็นเพราะเคียวนั่น เพราะจากการที่เพิ่งสังหารงูไปนั้นไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียวไหลออกมาเลย


           "แล้วทำไมถึงรู้ได้ล่ะว่าเจ้านี่เป็นคน.."


           "ในหนังสือ 'วาตะเสน่หา' มีข้อความลับที่เขียนไว้ว่า 'บางสิ่งที่ผิดแปลก บางอย่างที่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตทั้งมวล กายลักษณ์สีขาว ดวงเนตรสีเลือด ตัวตนที่ไม่มีทั้งิารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ เป็นเพียงความบ้าคลั่งและความยึดติด เผ่าพันธุ์ที่ไม่สมประกอบนั้นถูกเรียกว่า.. "


           "..ผู้ไม่สมบูรณ์" เจ้าหญิงแห่งจันทราที่เอาแต่นั่งเงียบมาตลอดจนอาการปวดหัวหายไปพึมพำต่อคำของเจ้าหญิงแหง่เจ้าหญิง


           "เรื่องจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ มาสู้กันต่อได้แล้ว!" ยมฑูตพุ่งตัวเข้าไปหาผู้ไม่สมบูรณ์โดยไม่สนใจใคร แต่มีดคัตเตอร์นั้นกลับถูกหยุดไว้โดยเคียวของนาง


           "ใจร้อนจริง ๆ นะคะ ยมฑูต"


           "ข้ายังไม่ได้เฉือนจนพอใจเลย ผู้ไม่สมบูรณ์ เจ้าจงมาทำให้ข้าสนุกมากกว่านี้หน่อยสิ!"


           ผู้ไม่สมบูรณ์หัวเราะในลำคอ "นั่นสินะคะ จะทำให้รู้สึกสนุกได้ถึงเท่าไรกันนะ" พริบตานั้นเคียวก็ถูกสะบัด แล้วร่างของยมฑูตก็ถูกเหวี่ยงไปชนกับปลายสุดห้องในทันที


           "!?" เอเลนายังต้องทึ่งเมื่อเห็นยมฑูตถูกเพียงแค่นั้นก็ลอยไปถึงขนาดนั้นแล้ว


           แต่ปีศาจไม่ได้หวั่นไหวใด ๆ ไปด้วย มันเข้าไปพร้อมฟันดาบลงที่ผู้ไม่สมบูรณ์


           "คราวนี้เป็นปีศาจรึ เจ้าเองก็ใจร้อนเหมือนกันเลยนะ"


           "ตัวอันตรายเกินระดับเจ็ด มากกว่าที่จะคาดคะเนได้ รีบกำจัดให้เร็วที่สุด" ดวงตาของปีศาจมีไฟสีฟ้าลุกโชนออกมา


           "หึ" เคียวกับดาบปะทะกัน สีดำกับสีขาวร่ายรำบนเวที การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วจนเหล่าเจ้าหญิงจับตามองไม่ทันจนดูเหมือนสูสี แต่หากเป็นนิวเจเนซิสก็จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนเลยว่าฝั่งปีศาจนั้นอ่อนกว่าฝั่งผู้ไม่สมบูรณ์มากแค่ไหน


           ปีศาจเสียจังหวะแล้วถูกทำให้อยู่ล่างของผู้ไม่สมบูรณ์


           ปืนพกสีขาวเล็งลงมา เมื่อเหนี่ยวไกก็ยิงลำแสงสีแดงออกมา


           ปีศาจรับแรงระเบิดเข้าไปทำให้กระเด็นออกมาจากเวที พื้นด้านล่างถูกทำลายจนเผยทางลับออกมา


           "!" เอเลนาเก็บวงแหวนลงไปแล้วตรงเข้าไปบ้าง


           ผู้ไม่สมบูรณ์กระโดดไปอยู่กลางอากาศ เอเลนากระโดดตามขึ้นไปแล้วจับดาบด้วยสองมือแล้วฟาดลงไปยังกลางด้ามจับของเคียว


           แสงทั้งสองปะทะกันจนเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ


           ไม่นานแรงปะทะก็หยุดลง ผู้ไม่สมบูรณ์ก็กระซิบกับเอเลนาว่า "ทำได้แค่นี้สินะ ดูเหมือนเจ้าเองก็ยังไม่ได้พลังทั้งหมดคืนมานะ"


           "หมายความไง ?"


           "น่าเสียดายนะ" เอเลนาที่เผยช่องว่างเพราะคำพูดของผู้ไม่สมบูรณ์ทำให้พลาดท่าถูก ตีใส่จนตกลงไปยังพื้นล่าง


           "อา.." ผู้ไม่สมบูรณ์กอดตัวเองและทำเหมือนกำลังลูบไล้ร่างกายของตนอยู่ แก้มที่เป็นสีขาวกลับมีสีแดงเรื่อให้เห็นอ่อน ๆ และนางดูมีความสุขเป็นอย่างที่สุด


           "สองสิ่งที่ทำให้ตัวข้ารู้สึกมีอารมณ์ได้ คือการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ กับตัวเขาเพียงเท่านั้น"


           "อย่ามาเมินข้านะ!" ยมฑูตคำรามแล้วพุ่งตัวออกมาจากผนังที่ถูกตีไป "สิ่งที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอย่างแกอย่าทำมาเป็นพูดเหมือนรู้ว่าอะไรคือความรู้สึกหน่อยเลย!"


           แต่ก่อนที่มีดจะไปถึงร่างของผู้ไม่สมบูรณ์ก็มีกระสุนเพลิงสีฟ้ายิงมาคั้นกลางระหว่างทั้งสองไว้ ทำให้การโจมตีหยุดชะงัก


           "นี่แกคิดจะทำอะไร ?" ยมฑูตส่งสายตาลงไปมองผู้ที่เข้ามาขัดขวางอย่างเคียดแค้น


           "..." ผู้ไม่สมบูรณ์นิ่งเงียบ แต่ยังจ่อปืนเล็งไปที่ผู้ไม่สมบูรณ์-ทั้งสองอยู่


           "บังอาจนักนะ!" ยมฑูตเปิดคัตเตอร์ให้พุ่งเลี้ยวสลับฟันปลาไปมาไปยังตำแหน่งที่ปีศาจอยู่ แต่พริบตานั้นปีศาจก็กระโดดมาอยุ่ศีรษะของเธอและผู้ไม่สมบูรณ์


           สีดำฟันดาบลงใส่สีขาว และใช้เท้าถีบไปข้างหลังใส่หน้ายมฑูต


           ผู้ไม่สมบูรณ์แสยะยิ้ม "ถูกต้อง บทละครของพวกเราไม่ใช่แบบสามต่อหนึ่ง แต่เป็นการสู้กันทั้งหมดของทุกสียังไงล่ะ แบบนี้สิถึงจะทำให้อารมณ์ของข้าพลุ่งพล่านได้อีก!"


           "หยามกันนักนะ" ยมฑูตจับขาของปีศาจแล้วขว้างลงพื้น


           ปีศาจที่กำลังลงพื้นด้วยแรงเหวี่ยง ตั้งตัวใหม่แล้วแทงดาบลงไปพื้นล่าง..ยังที่เอเลนาอยู่..


           "เอเลนา!"


           เสียงเรียกของเมกุมิทำให้เอเลนาได้สติ แล้วกลิ้งตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เกิดควันฟุ้งจากการกระแทก


           ปีศาจมองไม่เห็นตัวเอเลนา แต่ว่าเมื่อรู้ตัวอีกทีมันก็ถูกกรงจักรเข้าเล่นงานจนบาดเจ็บและถอยร่นไปจากตำแหน่งเดิม


           "ย่าส์!" หญิงสาวออกมาจากกลุ่มควัน พร้อมดาบที่กำลังจะฟันใส่ปีศาจ


           ทว่าการโจมตีต้องหยุดลงเมื่อร่างของยมฑูตตกลงมาจากอากาศแล้วมาตรงหน้าเธอพอดี แรงกระแทกทำให้เอเลนาปลิวออกไป แต่ยังตีลังกากลับมาตั้งหลักได้ในทันที


           ผู้ไม่สมบูรณ์ที่ทำให้ยมฑูตร่วงลงไปได้แล้ว ก็แทงเคียวลงมาซ้ำในทันที


           ยมฑูตตั้งหลักขึ้นไม่ แล้วเอามือเข้ากระเป๋าเสื้อ มีดจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทะลวงมาจากใต้ดิน


           ปีศาจชักดาบที่อาบไปด้วยเพลิงสีฟ้าออกมาแล้วพุ่งเข้าแทงใส่


           นิวเจเนซิสปลดปล่อยแสงที่มีเป็นแรงผลักตัวเองกลับไปแล้วโจมตีด้วยวงแหวน


           ทั้งสี่ปะทะพลังกันจนแรงสั่นสะท้าน และคลื่นพลังไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้แม้เมกุมิที่ถึงจะสร้างเกราะป้องกันอยู่ก็ยังแทบทนไม่ไหว รวมถึงเหล่าเจ้าหญิงเองก็รับผลจากแรงกระแทกพวกนั้นไปด้วย


           การปะทะหยุดลง แต่การโจมตียังคงมีต่อเนื่อง ปีศาจยิงกระสุนเพลิงใส่เอเลนา เธอหลบแล้วเหวี่ยงดาบใส่ผู้ไม่สมบูรณ์ นางป้องกันแล้วตวัดเคียวใส่ยมฑูต จึงต้องถอยพร้อมปล่อยมีที่ยืดยาวใส่ปีศาจอีกทีซึ่งฝั่งนั้นก็ใช้ดาบเบี่ยงการโจมตีไปได้


           ปีศาจกระโดดไปเหยียบไหล่ของเอเลนาแล้วม้วนตัวลงมาฟันดาบใส่ผู้ไม่สมบูรณ์อีกครั้ง พร้อมกับใช้สองเท้าเสยหน้าของเอเลนา หญิงสาวที่ถูกแรงเตะใส่ทำให้กระเด็น และยังมียมฑูตรออยู่ แต่นิวเจเนซิสก็หมุนตัวสะท้อนเธอออกไป


           ขณะที่ผู้ไม่สมบูรณ์ก็ผลักปีศาจออกไปแล้วฟาดเคียวใส่จนเกิดเป็นรอบแผลเนื้อหน้าอก


           ยมฑูตเอามือเข้ากระเป๋าเสื้ออีกครั้ง มีดจำนวนมากผุดออกมาจากใต้พื้นใส่เอเลนา, ผู้ไม่สมบูรณ์ และปีศาจ


           เงาสีดำทะะยานขึ้นไปบนฟ้าทำให้ไม่โดน
           ขณะที่เอเลนากางเกราะป้องกันเอาไว้ แต่นั่นไปทำให้ผู้ไม่สมบูรณ์ไม่โดนโจมตีไปด้วย


           สตรีสีขาวจ่อปืนใส่เอเลนาแล้วเหนี่ยวไกยิงแสงสีแดงออกไป เคราะห์ดีที่เธอยังสามารถไหวตัวทันแล้วกระโดดออกไปได้ก่อนที่ลำแสงจะโดนตัวเธอ
           ส่วนลำแสงก็ทะลวงผ่านมีดเข้าใส่ยมฑูต แต่กำแพงมีดก็เข้ามาสกัดเอาไว้ได้


           นิวเจเนซิสที่ลอยอยู่กลางอากาศรู้สึกถึงบางอย่างจากด้านหลัง เงาสีดำดีดตัวลงมาจากเพดานพร้อมดาบที่อาบไปด้วยไฟสีฟ้า เธอจึงยกวงแหวนขึ้นตั้งรับและเบี่ยงให้ปีศาจพุ่งลงไปที่พื้นได้


           ปีศาจก็กลับมาอยู่ระหว่างกลางของผู้ไม่สมบูรณ์ และยมฑูตอีกครั้ง โดยที่มีนิวเจเนซิสลอยอยู่เหนือหัว



           ทั้งสี่ผลัดกันรุกผลัดกันรับไม่มีใครเป็นมิตรใคร ทุกคนคืิอศัตรู แต่ฝ่ายผู้ไม่สมบูรณ์นั้นกลับไม่เป็นอะไรต่อการโจมตีของใคร ๆ เลย ผู้ที่ดูบาดเจ็บเรียงจากน้อยไปมากคือ เอเลนาตามด้วยยมฑูตแล้วก็ปีศาจ


           "แบบนี้ไม่ดีแน่ ๆ" เมกุมิรู้สึกร้อนรนใจในสถานการณ์นี้ เธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ระดับพลังของเธอกับพวกนั้นต่างกันมากเกินไป


           เหล่าเจ้าหญิงทั้งห้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนมองภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้น


           ในขณะที่มีเจ้าหญิงสามนางที่ถูกทำให้สลบไม่ได้สติ กับอีกหนึ่งที่เอาแต่นั่งสิ้นหวังอยู่นิ่ง ๆ


           แล้วตอนนั้นเองนิวเจเนซิสคนที่สามก็เพิ่งตามมาถึง และเธอก็ต้องแปลกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
           "นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ ?"


           "โคโตฮะ!"


           "เมกุมิ นี่มัน.." 


           "เรื่องมันยาว จนฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้วล่ะ"


           "อย่างไรก็ตามพาพวกเจ้าหญิงออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ" โคโตฮะบอก


           "เข้าใจแล้ว" เมกุมิเห็นด้วย


           ฝั่งเจ้าหญิงเองช่วยกันพาร่างของเจ้าหญิงที่ไม่ได้สติไปด้วย


           โคโตฮะมองดูสถานการณ์ที่กำลังรุนแรงขึ้นจนหยุดไม่อยู่ การต่อสู้กันระหว่างผู้ถูกเลือกสี่ฝ่าย มันรุนแรงจนแม้แต่ปราสาทแห่งธริษสตรีนี้ก็จะรับไม่ไหวอยู่แล้ว


          "ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็-!?"


           ฉึ่ก!!


           เสียงทิ่มแทงของบางอย่างที่ทำให้โคโตฮะถึงกับงงงัน เมกุมิที่ได้ยินเสียงเช่นกันก็หันกลับมาด้วยสีหน้าที่ตกใจยิ่งกว่า เหล่าเจ้าหญิงเองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น มีเพียงเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงที่แสดงสีหน้าที่เคร่งเครียดออกมา กับเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น..


           ..เจ้าหญิงแห่งจันทราแทงมีดลงไปยังบางแผลที่เอวของโคโตฮะ..














           ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว..


           ตัวเราเป็นได้เพียงหุ่นเชิดของเหล่าผู้ใหญ่..


           เจ้าหญิงเป็นเพียงชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นฉากบังหน้าของอาณาจักรจอมปลอมเท่านั้น..


           ดินแดนแห่งนี้ก็เป็นเพียงดินแดนที่ไม่มีความเท่าเทียม


           เป็นเพียงโลกในอุดมคติที่ไม่มีทางเป็นจริง..


           เมื่อไม่มีอัลกามาร์ ก็ไม่มีใครจะช่วยเราปกครองอาณาจักร..


           สุดท้ายแล้ว ตัวเราก็เป็นได้เพียงแค่นั้น..


           เป็นได้เพียงหมูตัวเมียที่มีชีวิตอยู่เพื่ออำนาจทางการเมือง..


           ทั้งหมดเป็นเพราะอัลการมาร์ที่ตายไป..


           หากอัลกามาร์ไม่ตายเรื่องที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น..


           เพราะผู้หญิงคนนั้นทำให้เราจะต้องประสบพบกับเรื่องพวกเหล่านี้..


           "ฆ่า"


           เจ้าหญิงจอมปลอม ที่กล้าปลอมมาเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่งอย่างไร้ยางอาย..


           "ฆ่านาง.."


           ตัวเราจะไม่ยอมให้นางได้ใช้ชื่อนั้น เราจะไม่ยอมให้นางได้เป็นเจ้าหญิงแห่งธริษสตรี..


           "ฆ่านาง..ฆ่านาง.."


           คนที่จะเป็นเจ้าหญิงแห่งธริษตรีคนต่อไปได้ต้องเป็นเราเท่านั้น..ต้องเป็นเราเท่านั้น..


           "ฆ่านาง..ฆ่า..ฆ่า..ฆ่านางเสีย"










           ด้วยเสียงที่ดังก้องอยู่ในหัว จิตใจที่ไม่มั่นคงของเจ้าหญิง มีดที่ตกอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ทราบที่มา นางคว้ามีดเล่มนั้นแล้ววิ่งเข้าไปแทงใส่หญิงสาวผมสีแดงเบื้องหน้าท่ามกลางความสับสนของทุกฝ่าย


           ..และรอยยิ้มแห่งชัยชนะของนาง..











           จันทราดึงมีดออก หยดโลหิตกระจายไปทั่วอากาศ มีดเตรียมที่จะแทงเข้าไปอีกครั้ง


           "จันทราหยุดนะ!" เมกุมิพยายามร้องเรียก แต่นางไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกต่อไปแล้ว


          ทว่านางไม่ได้สังเกตถึงเลือดของโคโตฮะที่แปรเปลี่ยนเป็นไฟอย่างฉับพลัน และระเบิดใส่มือในทันที


           "กรี๊ดดด!!" มือของเจ้าหญิงลุกไหม้เพราะไฟสีชาด เสียงกรีดร้องของนางดังไปทั่วทั้งปราสาทที่เงียบสงัด


           โคโตฮะที่ไม่ได้ตั้งใจเพราะเลือดจะทำงานของมันอัตโนมัติหน้าถอดสี เมกุมิเองก็แสดงสีหน้าที่ไม่ต่างกันหรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ


           มีดหลุดออกจากมือ เจ้าหญิงแห่งจันทราต้องทนทุกข์กับมือที่ลุกเป็นไฟ


           "โคโตฮะ!" เสียงของเมกุมิทำให้โคโตฮะหลุดจากภวังค์ แล้วทำการควบคุมเปลวไฟสีชาดของตัวเองให้หายไปจากมือของจันทรา ทว่ามันก็ไม่ทันการเสียแล้ว..


           มือของจันทราไหม้เกรียมจนถึงชั้นผิวด้าานใน แผลไฟไหม้ระดับสาม ที่เปลี่ยนมือสวย ๆ ของเจ้าหญิงกลายเป็นซากศพในพริบตา


           ทันใดนั้นเองการต่อสู้ระหว่างทั้งสี่ฝ่าย ก็เกิดการปะทะกันด้วยพลังที่รุนแรงอีกครั้ง ทำให้ทั้งปราสาทสะเทือนและส่วนจัดพิธีนี้ก็พังทลายลงมา แรงปะทะได้ส่งคลื่นกระแทกเข้าใส่คนอื่น ๆ รอบข้าง


           เพดานที่กำลังถล่มลงมา เมกุมิจึงต้องสร้างเกราะป้องกันเหล่าเจ้าหญิงไว้


           โคโตฮะสร้างเกราะเพลิงคุ้มกันตัวเองได้


           แต่หลังจากแรงระเบิดจันทรากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย..












           "แฮ่ก ๆ ๆ" เอเลนาเหนื่อยหอบจากการต่อสู้ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะที่ฝ่ายอื่นไม่ได้ดูเหนื่อยขนาดนั้น แต่พวกนางก็บาดเจ็บไม่ใช่น้อย ยกเว้นเพียงแต่ผู้ไม่สมบูรณ์ที่ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ไม่มีรอยขีดข่วนใด ๆ เลย


           "ท่าทางที่นี่จะเป็นสถานที่ต่อสู้ ที่ไม่เหมาะกับระดับของพวกเราเสียจริง ๆ นะคะ" ผู้ไม่สมบูรณ์ยืนลอยหน้าลอยตา ด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความสนุก


           "เอาล่ะ พวกเราจะมาสู้กันต่อ หรือว่าจะ.."


           "ไม่ต้องมาถามให้มันกวนประสาทหรอกน่า!" ยมฑูตพุ่งตรงเข้าไปอีกครั้ง


           ปีศาจเองก็ตามเข้าไปด้วย เอเลนาที่เห็นแบบนั้นก็วิ่งตามเข้าไปด้วย


           พวกนางตกอยู่ในห้วงแห่งการต่อสู้จนลืมนึกถึงผู้ที่ได้รับเคราะห์
           เมกุมิสามารถปกป้องเจ้าหญิงทุกคนไว้ได้ทัน ส่วนโคโตฮะก็ป้องกันตัวเองได้






           ขณะที่เจ้าหญิงแห่งจันทรา..






           "...นี่เรา"


           เศษกระจกแตกกระจกอยู่บนพื้น


           เจ้าหญิงแห่งจันทราตื่นขึ้นมาในห้องที่รู้สึกคุ้นตา เมื่อสายตาที่พร่ามัวกลับมาชัดอีกครั้ง ก็มองเห็นสิ่งนั้นอยู่เบื้องหน้า..


           วงกลม ที่มีสิบแปดช่องอยู่รอบบข้าง ซึ่งตอนนี้มีแสงอยู่ครบทุกช่อง
           กับอีกเก้าช่องที่มีแสงเรืองแสงออกด้วยสีที่ต่างกันไป


           จันทรามองดูวงกลมนั้พลางยื่นมือออกไป แต่เมื่อนางเห็นสภาพของมือของตัวนางเอง สติก็นางก็แตกกระเจิงอีกครา


           'อาจจะเป็นที่ซ่อนสมบัติแห่งธริษสตรีก็ได้'


           คำพูดของเจ้าหญิงแห่งอิสัตรีดังขึ้นมาในหัว เจ้าหญิงแห่งจันทราที่แตกสลายจนไม่รู้ว่าสิ่งใดคือสิ่งใดแล้วรู้สึกใีความหวังขึ้นมา


           ไม่แน่ว่าสมบัติที่อยู่ข้างในอาจจะมีพลังวิเศษในการรักษามือของนางให้เป็นปกติได้ ไม่แน่ว่าอาจจะชุบชีวิตเหล่าผู้ที่ถูกพรากไปกลับมาได้ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถทำให้นางเป็นเจ้าหญิงแห่งธริษตรีได้


           ..นั่นคือสิ่งที่เจ้าหญิงแห่งจันทราหลอกตัวเอง..


           เหมือนเห็นแมวสีขาวบริเวณริมขอบตา..แต่นางไม่สนใจอะไรแล้ว


           นางวางมือลงไปยังวงกลมด้วยความตั้งใจของนางเอง


           และแล้วคำสาปรองเท้าแก้ว..กลไกในการเปิดประตูก็ทำงาน


           เงื่อนไขทุกอย่าง และบทสรุปที่ถูกวางเอาไว้ ได้เป็นไปตามที่ถูกกำหนดไว้


           ประตูค่อย ๆ เปิดออก บางสิ่งที่ที่อยู่เบื้องในตอยสนอง


           ความมืด..ได้ถูกปลดปล่อยออกมา








           "เริ่มแล้วสินะ" ผู้ไม่สมบูรณ์ที่กำลังสู้อยู่กับเหล่าผู้ถูกเลือกอีกสามฝ่าย จู่ ๆ ก็ยิ้มขึ้นมาโดยที่ไม่ใครสังเกต ทันใดนนั้นก็เกิดบางอย่างที่ส่งผลต่อทุก ๆ คนยกเว้นตัวนาง


           ตึง! 
      ตึง! ตึง!


           ร่างของเอเลนา, ปีศาจ และยมฑูตต่างหนักอึ้งจมล้มกองนอนที่พื้น
           ไม่ใช่เพียงแค่พวกนาง แต่ทั้งเมกุมิ, โคโตฮะ และเหล่าเจ้าหญิงรวมถึงเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาเองก็พลังบางอย่างทำให้พวกนางถูกกดลงกับพื้นโดยที่ไม่สามารถขยับได้เลย


           ทุก ๆ คนล้วนล้มนอนกับพื้น เว้นแต่เพียงนางคนเดียว..


           "หึ ๆ สภาพดูกันไม่ได้เลยนะคะ" ผู้ไม่สมบูรณ์ควงสะบัดเคียวแล้วจ่อเคียวไปที่หน้าของเอเลนา


           "คึ่ก!" เอเลนาที่เห็นเคียวจ่อมาที่ตัวเองอยู่ที่ปลาย ๆ ตา ก็คิดตัวเองคงไม่รอด


           แต่เคียวของผู้ไม่สมบูรณ์กลับเอาออกไปเสียแบบนั้น และเดินไปไกลจากผู้ถูกเลือกคนอื่น ๆ


           "เรื่องราวของที่นี่จบลงเพียงเท่านี้นั่นล่ะค่ะ เธอได้ตื่นขึ้นมาแล้ว.."


           พูดเสร็จ พื้นบนเวทีก็ระเบิดออกกลายเป็นเสาแสงสูงไปจนถึงเมฆสีดำที่ปกคลุมรอบอาณาบริเวณนี้ และยังทำให้หมู่เมฆนั้นสลายหายไป


           ท้องฟ้าที่ว่างโล่งกลับคืนมา ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ทุกคนจดจำกันได้


           แต่บางสิ่งที่ลอยขึ้นไปอยู่กลางท้องฟ้านั้น เป็นสิ่งที่ดูแปลกปลอมไปจากทุก ๆ อย่าง


           "นั่นมัน..ไข่ ?"


           "..ไม่ใช่..นั่นมัน..หัวใจ"


           หัวใจสีดำที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า มันกระพริบสีแดงอยู่เนือง ๆ บ่งบอกถึงสัญญาณชีวิตที่ยังคงอยู่ในสภาพเพียงแค่นั้น


           เจ้าหญิงแห่งจันทราปีนออกมาจากห้องลับ ดูเหมือนนางก็จะไม่ได้รับผลจากพลังบางอย่างที่กดดันเหล่าเจ้าหญิงและผู้ถูกเลือกคนอื่น ๆ


           "เดี๋ยวสิ แล้วสิ่งที่ฉันต้องการล่ะ ให้สิ่งที่ฉันต้องการก่อนสิ!" เจ้าหญิงแห่งงจันทราอ้อนวอน
           "ได้โปรด ฉันเป็นคนปลดปล่อยเจ้าออกมานะ"


           "เจ้าหญิงแห่งจันทรา.."


           "จันทรา.." 


           รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนหน้าของผู้ไม่สมบูรณ์ และก็มีแมวสีขาวตัวหนึ่งค่อย ๆ ย่องไปหาด้วยท่าทางที่ไม่รับผลจากแรงกดดันเช่นเดียวกัน แล้วขึ้นไปอยู่บนไหล่ของนาง


           ขณะนั้นบนท้องฟ้านั้นเดิมมีเพียงหัวใจอยู่เพียงลำพัง


           ได้ยินเสียงของบางอย่าง ผืนดินก็เกิดการสั่นสะเทือนเบา ๆ 


           กำลังมีบางสิ่งปรากฏออกมา เสียงคล้าย ๆ กับเสียงของประจุไฟฟ้าที่สะสมอยู่ในก้อนเมฆ


           เศษดิน เศษหินแตกกระจาย และมันก็ผุดปรากฏออกมาจากเบื้องล่างปราสาท


           เงาสีดำขนาดมหึมา ขนาดสูงใหญ่มากกว่าที่หัวใจลองสูงขึ้นไปเสียอีก


           เพราะความมืดทำให้ไม่อาจมองเห็นหน้าตาหรือรูปลักษณ์ของมันได้ชัดเจน


           ทุกคนต่างมองดูมันด้วยสายตาที่ตื่นตกใจ ก่อนที่มันจะยื่นมือมารับหัวใจดวงนั้นไป


           "เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งสิ!" เจ้าหญิงแห่งจันทราลุกขึ้น และวิ่งพร้อมตะโกนร้อง


           เจ้าหญิงพยายามไปให้ใกล้ที่สุดเพื่อบอกให้เจ้ายักษ์หยุด แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีทีท่าที่จะสนใจเลย..


           ..เจ้าหญิงมองเห็นเหมือนมีเงาของผู้หญิงยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ จันทรารู้สึกเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อนเมื่อตอนงานจัดพิธีก่อนจะสลบไป..


           พื้นล่างที่มันยืนอยู่ปรากฏแสงสีม่วงขึ้นมาเช่นเดียวกับเมื่อครั้งงูเคยใช้กับเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา และร่างขนาดยักษ์นั้นก็ค่อย ๆ เข้าไปในวงกลมสีม่วงนั้น พร้อมนำ หัวใจ ไปด้วย


           ..ในที่สุดมันก็เข้าไปในวงกลมนั้นจนหมดทุกส่วน และวงกลมก็หายไป..


           "อะ..อา.."


           จิตใจของเจ้าหญิงแห่งจันทราแตกสลายอีกครา สิ่งที่นางหวัง สุดท้ายแล้วก็เป็นได้เพียงความฝันลม ๆ แล้ง เป็นเพียงเรื่องหลอกลวง


           เมื่อหัวใจหายไปจากบนท้องฟ้า แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ทุกคนก็หายไปอย่างปลิดทิ้งจนไม่คิดเลยว่าเมื่อสักครู่นี้จะถูกกดเสียจนไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย


           "..." เจ้าหญิงแห่งจันทราที่หมดอาลัยตายอยากพลางหน้ากลับไปหาคนอื่น ๆ นางคลานเข้าไปและจับที่ข้อขาของสตรีสีขาวและข้อร้องอ้อนวอน


           "ได้โปรดเถอะ ให้ฉันได้ในสิ่งที่ต้องการด้วย.." เจ้าหญิงเริ่มร่ำไห้ "..ให้ฉันสมปรารถนากับความสุขที่ฉันสมควรได้รับทีเถอะ"


           "จันทรา!"


           "เจ้าหญิง!" เหล่านิวเจเนซิสรู้สึกถึงอันตราย และคิดจะเข้าไปช่วย แต่พลังของพวกเธอสูญเสียไปมากกับตอนที่ถูกแรงกดดันมหาศาสนั่นกดทับ


           ผู้ไม่สมบูรณ์ยื่นมือออกมา มือของเพชรฆาตที่เป็นผู้สังหารเจ้าหญิงแห่งธริษตรี


           แต่ผลที่ออกมากลับผิดคาด สตรีสีขาวกลับนำมือข้างนั้นมาลูบศีรษะของเจ้าหญิงอย่างอ่อนโยน และยังย่อตัวลงเพื่อคุยกับนาง


           "เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าได้ดีมาก บทละครที่พวกเราต้องการจะไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลยหากขาดตัวเจ้า"


           "เมี้ยว"


           "ความสุขที่เจ้าใฝ่หา อีกไม่ช้านานเจ้าก็จะได้ประสบพบอย่างแน่นอน ความหมายของความสุขที่แท้จริง"


           สตรีสีขาวลุกขึ้นพร้อมกับแมวสีขาวบนไหล่ นางกลับไปหาเหล่าเจ้าหญิง, นิวเจเนซิส, ปีศาจ และยมฑูตเพื่ออำลา 


           "ลาก่อนนะคะทุกท่าน หวังว่าสักวันหนึ่งพวกเราจะพบกันใหม่ ไม่สิ ในโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้ อย่างไรก็ตามพวกเราก็ต้องได้พบกันใหม่อยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้น.." ผู้ไม่สมบูรณ์พลางมือไปหาเหล่าผู้อยู่เบื้องหน้าและกวาดมือเป็นรูปครึ่งวงกลม
           "..เมื่อถึงเวลาที่พวกเราได้พบกัน ก็ขอให้พวกเราได้สรรสร้างการต่อสู้เช่นนี้อีกครั้งก็แล้วกัน"


           "เมี้ยว"


           พูดเสร็จร่างตรงนั้นของสตรีสีขาวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมทั้งแมวที่อยู่บนไหล่ เป็นการหายไปแบบหายไปโดยที่ไม่มีการทำอะไรเลย จู่ ๆ ก็หายไปจากภาพสายตาอย่างกระทันหัน


           ความรู้สึกของนางเองก็หายไปอย่างหมดจด นางจากไปแล้วจริง ๆ


           โคโตฮะ เมกุมิ และเอเลนาลุกขึ้นยืน สองคนแรกรีบช่วยพวกเจ้าหญิงให้ลุกขึ้นยืนได้อย่างปลอดภัยทีละคน ส่วนเอเลนามองดูท่าทีปีศาจที่กำลังจะลุกขึ้นยืนเช่นกัน


           "..." ดวงเนตรสีฟ้าอ่อนจับต้องมาที่หญิงสาวผมเขียวขณะหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็ละสายตาไป และกระโดดชิ่งออกไปจากเขตปราสาทในทันที


           เอเลนารู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง "จบแล้วสินะ.."


           "ใครว่ากันเล่า ยังเหลือข้าคนนี้อยู่อีกนะ!" เสียงจากด้านหลังทำให้เอเลนาไหวตัวหันกลับไป คมมีดคัตเตอร์ของยมฑูตกำลังตรงมาที่เธอ เธอกำลังจะตอบโต้ แต่ทันใดนั้นทั้งสองก็ต้องหยุดเมื่อมีใครบางคนมาอยู่ระหว่างกลางของทั้งสอง..


           "แก..อย่ามาขวางจะได้ไหม"


           "เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา"

           "พอเถอะ ความอดอยาก" นำเสียงของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาเปลี่ยนไป นี่เป็นเสียงเมื่อครั้งที่เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาเคยใช้คุยกับเจ้าหญิงแห่งจันทราเมื่อก่อนหน้านี้
           "เหล่าตัวตนที่ขัดต่อการคงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าเหล่านี้ ต่างช่วยเหลือชีวิตที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เอาไว้ หากไม่ได้พวกนางแล้ว จะเกิดความสูญเสียมากกว่าที่พวกเราได้คาดการณ์เอาไว้เสียอีก"


           "แต่พวกนี้มันเป็นศัตรู ถ้าพวกเราไม่รีบจัดการล่ะก็ ต่อไปก็.."


           "ด้วยความแข็งแกร่งของตัวท่านเองไม่ว่าเมื่อใดก็ย่อมสู้กับพวกนางได้สบายอยู่แล้วนี่คะ หรือว่าท่านเกรงว่าในอนาคตท่านจะสู้พวกนางไม่ได้.."


           คำพูดแทงใจดำของผู้ที่ใช้ร่างแทนของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาอยู่ทำให้ยมฑูตไม่พอใจ แต่ก็ระงับความโกรธไว้และเก็บมีดคัตเตอร์กลับไป
           "เชอะ ก็ได้ ยังไงพอสู้กันจริง ๆ ผู้ชนะก็เป็นข้าแน่นอนอยู่แล้ว"


           พูดเสร็จยมฑูตก็ยอมถอยออกไป ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก


           "อะ..เออ..คือว่า เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา.."


           คำเรียกของหญิงสาวทำให้เจ้าหญิงหันหน้ากลับมาช้า ๆ และเมื่อเห็นนางเช่นนั้นเอเลนาก็เข้าใจทันที


           "ไม่ใช่สินะ..แต่ว่าขอบคุณสำหรับที่ช่วยไกล่เกลี่ยนะ"


           "ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ นิวเจเนซิส เพราะอย่างไรก็ตามพวกเราสามเผ่าพันธุ์ ก็ต่างเป็นสีที่ต่างเป็นศัตรูของสีของคุณทั้งนั้น ครั้งนี้ตัวเราทำเพื่อชีวิตทั้งมวลที่ต้องมารับเคราะห์จากสิ่งที่พวกเรากระทำต่างหาก"


           "ถึงอย่างนั้นก็ขอบคุณนะ" เอเลนาก็ยังยืนยันที่จะขอบคุณต่อไป และยังส่งยิ้มให้กับผู้ที่จะกลายเป็นศัตรูของเธอในอนาคตอีก


           "ถ้าเช่นนั้นข้อเองก็ได้เวลาคืนร่างนี้ให้กับเจ้าของเสียที.." หน้าผากของเจ้าหญิงอห่งคำพิพากษาปรากฏอักษร Q ขึ้นมา ก่อนที่จะสลายหายไปเหมือนเมื่อครั้งก่อน


           "ไปแล้วสินะคะ"


           "อืม.." เอเลนาพยักหน้า


           ค่ำคืนอันแสกยากลำบากได้ผ่านพ้นไป มองเห็นดวงตะวันกำลังขึ้นจากขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกแบ่งออกเป็นความมืดและแสงสว่าง วันใหม่ได้มาถึงแล้ว..















           "ฮัลโหล ฮัลโหล ว้าว! ติดต่อได้แล้ว"


           "ไง ริโกะขอโทษทีนะที่ไม่ได้ติดต่อกลับไปเลย"


           "คุณซากิ ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมทางนี้ถึงติดต่อกลับไปไม่ได้เลย หรือว่ากำลังเดทอยู่คะ ?" น้ำเสียงหยอกล้อดังมาจากปลายสาย


           "นั่นสินะ ก็คล้าย ๆ แบบนั้นอยู่นะ แต่เป็นคู่เดทที่ไม่ชวนน่าอภิรมณ์เท่าไร"


           ระหว่างที่หญิงสาวในชุดเมดกำลังคุยโทรศัพท์ บางสิ่งก็เข้ามาจากด้านหลังของเธอ


           ปากอ้ากว้าง ฟันของมันขยับฉับ ๆ พร้อมที่เข้าขย้ำเหยื่อของมัน


           ซากิหยิบสิ่งที่คล้าย ๆ ดาวกระจายรูปวงกลมขึ้นมาแล้วปาไปทางด้านหลัง


           ดาวกระจายพุ่งเข้าไปตัดผ่าปากจนขาดเป็นสองซีกและแน่นิ่งไปในทันที


           "มาทำให้ตกหลุม(รัก)ไปตั้งสองรอบ แต่ก็ยังมาหลอก(รัก)พวกเจ้าหญิงให้คลั่ง เป็นคู่เดทที่น่าอารมณ์เสียจริง ๆ" สาวเมดดูจะไม่ได้สนใจกับเจ้าอสูรกายที่ตายไปเท่าไร เธอใช้มือที่ว่างอยู่รับดาวกระจายที่บินกลับมาและเก็บลงไปในเสื้อตามเดิม


           "นั่นสินะคะ จากที่ฟังดูแล้วเป็นคู่เดทที่ชวนเชือดทิ้งเสียจริง" ได้สินเสียงหัวเราะ คิก ๆ มาจากปลายสาย


           "เนอะ ๆ ริโกะเองก็เห็นด้วยสิเนอะ"


           "แล้ว.." จู่ ๆ น้ำเสียงของริโกะก็เปลี่ยนไป "..ได้เรื่องอะไรบ้างรึคะ ?"


           "ภารกิจล้มเหลว นำของมาไม่ได้" ซากิเองก็เปลี่ยนน้ำเสียงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ


           "ผู้ที่ได้ไปคือฝ่ายไหนหรือคะ..ผู้ไม่สมบูรณ์ ?"


           "พูดยาก เพราะยังยืนยันไม่ได้ว่าเป็นผู้ไม่สมบูรณ์รึเปล่า"


           "งั้นเทพธิดา ไม่ก็นิวเจเนซิสหรือคะ แต่ว่าพวกนั้น.."


           "นิวเจเนซิสไม่น่าจะเป็นคนทำ ฉันเจอพวกเธออยู่สอง-สามคนที่นี่ และยังเป็นผู้ถูกเลือกด้วย พวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย" ซากิตอบ "เทพธิดาเองก็ไม่น่าจะใช่เท่าไร วิธีการแบบนี้ไม่ใช่พวกนางเลย"


           "แปลว่ายังมีใครอยู่ที่นั่นนอกเหนือจากพวกเราทั้งสี่ฝ่ายงั้นหรือคะ ?"


           "นั่นสินะ ถ้ายังไม่สืบให้แน่ใจฉันก็ยังยืนยันไม่ได้หรอก"


           "ถ้าเช่นนั้นก็ขอฝากด้วยนะคะ คุณซากิ" ริโกะตอบเสียงใส


           "แหม ๆ เงินเดือนก็ยังไม่ได้ มาใช้งานกันหนักจังนะ ขอเวลาพักร้อนให้ฉันหน่อยสิ" ซากิก็ตอบกลับไปแบบเล่น ๆ


           "ถ้างั้นก็ขอวางสายนะคะ บอกสเตลลาด้วยว่าให้กลับมา มีภารกิจใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้เธอ"


           "ok เข้าใจแล้ว งั้นวางล่ะนะ" สาวเมดกดวางสาย และเก็บโทรศัพท์ลงไป


           ตำแหน่งที่ซากิอยู่คือปราสาทส่วนตะวันตก หลังจากที่ร่วงหล่นมาจากก้อนเนื้อประหลาดนั้น ซากิก็หนีออกมาได้ แต่ว่าก็ถูกปากจ้องเล่นงานมาตลอด แต่ระดับอย่างพวกนั้นเมื่อมาเทียบกับผู้ถูกเลือกแห่งปีศาจอย่างเธอ ก็เป็นได้เพียงของเล่นสนุกเพียงเท่านั้น


           เงาสีดำเข้ามาจากด้านหลัง ตามปกติเธอคนนั้นจะเก็บความรู้สึกและเสียงไว้อย่างเงียบเชีบย แต่ไม่รู้เพราะร่างกายที่อ่อนล้า หรือเพราะเป็นเพื่อนกันแน่ถึงจงใจส่งเสียงให้รู้


           "เหนื่อยหน่อยนะ สเตลลาจัง"


           ปีศาจหญิงสาวรูปงาม ในชุดโค้ทสีดำ ผมสีดำและนัยน์ตาสีฟ้าอ่อน ที่ตอนนี้ดูผิดไปจากเมื่อตอนต่อสู้โดยสิ้นเชิง "ซากิ ไม่บาดเจ็บ สินะ"


           "อา" สาวเมดยืดอกจนรอยนูนเล็ก ๆ ของเธอเด้งขึ้นมาหน่่อย ๆ "ของแค่นี้สบายมาก"

           "ขอโทษนะ ถ้าฉันรู้ว่าซากิอยู่ด้วยล่ะก็ ก็คงไม่ยิงจนเกือบพลาดไปโดนแบบนั้นหรอก แต่ภารกิจของเราที่ได้รับมาคือการไล่ฆ่าพวกเจ้าหญืงนี่สิ" ปีศาจสีดำรู้สึกผิด เธอแสดงสีหน้าโศกเศร้าออกมาอย่างชัดเจน


           "เอาน่า ๆ คนผิดจริง ๆ ทางนี้ต่างหาก ที่มาทำภารกิจโดยไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน" ซากิเอามือจุ๊ปาก "ซากิเปียว อยากให้สเตลลาจังมั่นใจในตัวเองเข้าไว้ ทางนี้น่ะไม่เป็นไรอยู่แล้ว สเตลลาจังเองก็น่าจะรู้ดีนะ"


           "อืม เข้าใจแล้ว" สเตลลาพยักหน้าเชื่อตามที่เมดสาวบอกทุกอย่าง


           (อันที่จริงก็เกือบไม่รอดล่ะนะ พลังของเด็กคนนี้มากกว่าเราไม่รู้ตั้งกี่เท่า แต่เพราะนิสัยน่ารักแบบนี้นี่ล่ะ เลยเกลียดไม่ลงเลยสักครั้ง)


           "แล้วพวกเราจะต้องไปที่ไหนต่องั้นหรือ ?" สเตลลาถาม


           "อืม..ดูเหมือนพวกเราต้องแยกกันนะ สเตลลาถูกเรียกตัวกลับไปฐานใหญ่เพื่อทำภารกิจใหญ่อะไรนี่ล่ะ ไม่ได้ถามรายละเอียดมาด้วย แต่ถึงถามไปก็โดนบอกภารกิจลับอีก" ซากิยักไหล่


           "แล้วซากิล่ะ ?"


           "ฉันน่ะรึ" ซากิหันกลับไปหาสเตลลาและยิ้ม "ได้เวลาแต่งคอสเพลย์อีกแล้วนะ คราวนี้เป็นที่ที่เข้ายากเสียด้วยสิ จะลอบเข้าไปโดยไม่มีใครรู้ได้รึเปล่านะ ฮ่า ๆ ๆ"


           "ถ้าอย่างนั้นก็-?"


           "ซากิ"


           "หืม ?"


           "พวกเจ้าหญิง..ไม่ไปอำลาหน่อยหรือ ซากิดูจะสนิทกับพวกนางดีนะ และพวกนางก็ดูจะติดซากิด้วย" ปีศาจสีดำกล่าว


           "นั่นสินะ" เมดสาวอมยิ้มไว้คนเดียว ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้อยู่กับเจ้าหญิงนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่เลวร้ายอะไร เป็นครั้งแรกที่ใช้ความรู้สึกของเมดออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ว่า..


           "ไม่ดีกว่า"


           "ทำไมล่ะ ?"


           "สเตลลา.." ซากิพูดโดยไม่หันหน้ากลับไป "..ปีศาจอย่างพวกเราน่ะ อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจอยู่ท่ไหนได้หรอก ต่อให้เจอสถานที่ที่คิดว่าเป็นที่สามารถอยู่ได้แล้ว สุดท้ายก็ต้องถูกขับไล่ออกมาในฐานะแกะดำอยู่ดี เหมือนกับที่ที่พวกเราถือกำเนิดขึ้นยังไงล่ะ"


           ถึงจะฟังดูโหดร้าย แต่สเตลลาเองก็ยอมรับความจริงข้อนั้น


           "ป๊ศาจน่ะได้แต่ไปปรากฏที่โน่นที่นั่นแล้วก็จากไป นั่นก็คือ โชคชะตา ของพวกเรายังไงล่ะ"


           "..."


           "ถ้าอย่างงั้นไปกันเถอะ ยังไงก็ไปทางเดียวกันจนกว่าจะแยกกันดีไหม"


           "อืม" สเตลลาพยักหน้าเห็นด้วย


           ทั้งสองตกลงเสร็จก็วิ่งกระโดดลงไปจากหน้าต่างทันที เบื้องล่างนั่นมีมอเตอร์ไซค์รอรับพวกเธออยู่คนละคัน และปีศาจทั้งสองก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปจากปราสาทแห่งธริษตรีแห่งนี้


           (ขอให้โชคดีนะ เจ้าหญิงแห่งจันทรา)














           "เชอะ"


           บนหน้าผาที่อยู่ห่างไปจากปราสาทธริษตรี ยมฑูตนั่งอยู่บนหินและมองดูปราสาทกับดวงตะวันที่กำลังขึ้นอยู่อย่างเบื่อหน่าย


           แล้วเธอก็รู้สึกถึงใครบางคนที่เข้ามาจากด้านหลัง ..


           ซู้ม!!


          เสียงมีดตัดผ่านอากาศพุ่งไป แต่ดูเหมือนจะไม่โดนบุคคลผู้นั้น กลับไปโดนต้นไม้จนเกิดระเบิดขึ้นแทน


           "ดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ ความอดอยาก"


           "เชอะ อะไรกัน โรคระบาด เองรึ บอกกี่ครั้งแล้วเวลาเข้ามาด้านหลังอย่าปิดบังความรู้สึก มันทำให้ระบุไม่ได้ว่าคนที่เข้ามาเป็นใคร"


           "ออ งั้นรึ ขอโทษที" ยมฑูตอีกคนตอบแบบขอไปที


           ส่วนยมฑูตคนแรกนั้นกลับไปนั่งเซ็งตามเดิม


           "แพ้มารึ ?"


           "พูดอีกที ฉันฆ่าแกแน่"


           ปลายมีดยืดไปที่ลำคอของ โรคระบาด แต่ฝั่งนั้นดูจะไม่มีปฏิกิรยาอะไรกับคำขู่ของ ความอดอยาก เลย


           เธอเก็บมีดลงไปและเริ่มพูด "อุตส่าห์มาทั้งทีแต่จะเชือดได้ไม่สมใจเลย ทั้งที่นาน ๆ ทีจะได้เวลาว่างออกมาเล่นแบบนี้"


           "เดี๋ยวพวกเราก็ได้ออกมาอีก ไม่ต้องอารมณ์เสียไปหรอก พวกเราแค่มาทำหน้าที่แทนเหล่าเทพธิดาที่กำลังเจอปัญหาอยู่เท่านั้น"


           "เป็นแกก็พูดง่ายสิ" ความอดอยาก บ่น และเริ่มถาม "แล้วพวกติดปีกหน้าโง่นั่นเป็นยังไงกันบ้างล่ะ ตายกันหมดรึยัง


           "ในบรรดาพี่น้องแห่งจูปิเตอร์ไม่มีใครตายเลยสักคน แต่ดูเหมือนว่ามาร์สจะใช้เกราะแห่งสวรรค์ไปแล้ว" โรคระบาด ตอบ


           "เชอะ อุตส่าห์คิดว่าจะมีเรื่องน่าสนุกกว่านี้สักหน่อย"


           "อีกไม่นานก็ใกล้จะถึงเวลาที่พวกเราจะได้เข้าร่วมสงครามครั้งนี้อย่างจริงจังแล้วล่ะ ทนรออีกสักหน่อย อีกอย่าง.." โรคระบาดเหล่ตาไปที่บาดแผลของ ความอดอยาก "เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของผู้ไม่สมบูรณ์แล้ว"


           ความอดอยากกัดฟันกรอด สาเหตุที่แท้จริงของการที่อารมณ์เสียมาตั้งแต่แรกคือเรื่องนี้
           "คราวหน้าข้าจะเชือดเป็นชิ้น ๆ เลยคอยดู"


           "กลับกันเถอะ"


           "เออ ๆ รู้แล้วน่า เชอะ"


           ทั้งสองเดินกลับเข้าไปป่า แล้วก็หายไปกับเงามืดของข้างในป่านั้น


           ..เมื่อใดที่สรวงสวรรค์กำลังจะล่มสลาย เวลาของพวกเราก็จะมาถึงอีกครั้ง..















           โคโตฮะและเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงจับมือกัน


           "ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ตัวตนผู้ขัดต่-ไม่สิ-นิวเจเนซิส" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงรู้สึกขอบคุณจากใจจริง


           "ไม่หรอกค่ะ ทางนี้ต่างหาก ที่ถึงพวกเราจะถูกเผยตัวตนแล้วก็ยังเป้นมิตรกับพวกเราอย่างปกติ" โคโตฮะกล่าว


           "ฉันนึกภาพที่ไม่มีพวกเธออยู่แล้วมีฉากจบแบบนี้ออกได้เลยนะ การที่มีพวกเธออยู่นับเป็นโชค-ไม่สิ เรื่องที่ดีสำหรับอาณาจักรนี้เลย"


           "ยังไงเสียพวกเราก็แอบอ้างนามของเหล่าเจ้าหญิงที่ตายไปแล้วล่ะค่ะ ชุดนี้ก็ลอกเลียนมาจากพวกนาง ไม่รู้ว่าพวกางจะเคียดแค้นพวกเราด้วยรึไม่" โคโตฮะบอก


           "พวกเธอได้ช่วยเหลือดินแดนนี้ไว้ ฉันคิดว่าไม่หรอก"


           เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงสังเกตเห็นรอยแผลที่โคโตฮะมีบริเวณเอว ซึ่งเกิดมาจาก..
           "แผลนั่นจะไม่เป็นไรแน่รึ ดูเหมือนจะแทงเข้าไปลึกน่าดูเลยนะ"


           "ไม่เป็นไรค่ะ นิวเจเนซิสมีพลังในการฟื้นตัวที่มากกว่ามนุษย์ทั่วไป เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่นาทีก็หายสนิทเหมือนไม่เคยมีแผลแล้วล่ะค่ะ ยิ่งเป็นฉันด้วย.."


           ถึงจะไม่เข้าใจในคำพูดสุดท้าย แต่เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงก็ไม่ถามต่อ



           ขณะเดียวกันเอเลนา เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม เจ้าหญิงแห่งหอคอย เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล และเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาก็กำลังเฝ้าดูอาการของเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย และเจ้าหญิงแห่งดวงดาราอยู่


           คำพิพากษาแตะหน้าผากและหลับตาลงเพื่อคาดคะเนอาการของเจ้าหญิงแห่งดวงดารา


           เอเลนาและยุติธรรมที่เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อก็เอ่ยถามพร้อมกัน
           "นางไม่เป็นไรใช่ไหม/ดวงดาราเป็นอย่างไรบ้าง ?"


           "เจ้าหญิงแห่งดวงดารายังมีผลของสารเสพติดอยู่ในร่าง และดูเหมือนจะเข้าไปในกระแสเลือดจนแยกออกไม่ได้ ชีวิตของนางคงจะต้องอยู่กับสารนี้ต่อไป..และที่แย่กว่านั้นก็คือ หากนางขาดสารไปสักวันหนึ่งล่ะก็ชีวิตของนางก็อาจจะ.."


           คำกล่าวนั้นทำให้หอคอยรู้สึกกลัวจนต้องไปหลบอยู่ข้างหลังยุติธรรม


           จากนั้นคำพิพากษาก็มาตรวจดูอาการของความเยาว์วัยและแห่งเวทมนตร์ต่อ


           "เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย ถูกพิษของอสูรกายเข้าไป เป็นพิษที่รักษาไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถคงความอยากหรือความรู้สึกได้อีกต่อไป นางจะกลายเป็นเพียงคนที่ต้องใช้ชีวิตอยุ่กับสัญชาตญาณ และมีชีวิตอยู่เยี่ยงเดรัจฉาน"


           "ส่วนเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์ จากการที่สูญเสียพี่ไป และการโจมตีในจิตใจครั้งนั้น จะทำให้นางกลายเป็นคนเสียสติ ไม่รู้ถูกผิด ทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ กลายเป็นมนุษย์ที่ไม่มีคุณค่าให้สมควรเรียกว่ามนุษย์"


           ผลของเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาทำให้คนอื่น ๆ ต่างรู้สึกหวั่นเกรง แม้แต่เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลเองก็ยังแสดงความหวั่นใจออกมาทางสีหน้า


           "แล้วอาการของเจ้าหญิงแห่งจันทราเองก็คงจะคล้าย ๆ กับของนาง(เจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์) และอาจจะหนักยิ่งกว่า..เพราะนางรับผลของการโจมตีทางจิตใจและทางกายไปด้วย โดยเฉพาะจิตใจนั่น..ที่แหลกสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว.."


           เอเลนาทอดสายตาไปมองเจ้าหญิงแห่งจันทราที่ยังนั่งหมดอาลัยตายอยากอยุ่บนเวทีจัดพิธีเพียงลำพัง ตัวนางดูไม่ต่างไปจากคนตาย เป็นเพียงซากศพที่รอคอยให้มีอีแร้งมาจิกกิน


           ระหว่างนั้น..เมกุมิก็เดินเข้าไปหา..




           "จันทรา.."


           หญิงสาวที่ถือตัวเองเป็นเพื่อนกับเจ้าหญิง คิดจะเข้าไปปลอบใจ


           แต่เมื่อเธอแตะลงไปที่บ่าของนางก็..


           "อย่ามาแตะต้อง ยายตัวตนผู้ขัดต่อพระผู้เป็นเจ้า!" จันทราสะบัดมือเมกุมิออกและยังตวาดเสียงดังกลับไป จนคนอื่น ๆ หันมามอง


           เอเลนาที่เห็นท่าไม่ดีเลยเดินเข้าไป..


           "หมดสิ้นแล้ว ไม่เหลืออะไรแล้ว ฉันทำอะไรไม่ได้แล้ว ทุกอย่างมันจบแล้ว" น้ำเสียงที่สั่นคลอน และความสิ้นหวังที่กลืนกินจิตใจ เจ้าหญิงแห่งจันทราเกินที่จะเยียวยาแล้ว


           "ยังมีอยู่ไง" เมกุมิย่อตัวลงในระดับเดียวกับจันทรา "ฉันเป็นเพื่อนของเธอนะ"


           "คนอย่างแกไม่ใช่เพื่อนของฉัน!" จันทราปาก้อนหินใส่หน้าเมกุมิ แน่นอนว่าไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้น


           ตอนนั้นหญิงสาวก็กางมือห้ามคนข้างหลังไว้ เพราะรู้ว่าหญิงสาวผมสีเขียวกำลังจะวิ่งเข้ามา


            "ฉันน่ะ..คิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันจริง ๆ นะ ตอนที่ได้อยู่กับเธอฉันรู้สึกสนุกมากเลยล่ะ ความอ่อนโยนของเธอน่ะเป็นของจริง" หญิงสาวยังไม่ย่อท้อและพยายามปลอบใจเพื่อนของเธอ


           "เธอน่ะเปรียบเสมือนดวงจันทร์ที่คอยเยียวยาผู้อื่น นั่นล่ะคือตัวจริงของเธอ"


           "ตัวจริงของฉัน.."


           เจ้าหญิงแห่งจันทราจับปกเสื้อของเมกุมิและเริ่มตวาดเสียงดังขึ้น "อย่าทำมาเป็นพูดเหมือนรู้ดีหน่อยเลย ยายเจ้าหญิงจอมปลอม!"


           "ฉันน่ะต้องการตำแหนงเจ้าหญิงแห่งธริษตรี ฉันน่ะต้องการที่จะเป็นอิสระจากตำแหน่งบ้า ๆ นี่ ฉันน่ะเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ ฉันน่ะไม่อยากต้องตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองแบบแม่และแม่เลี้ยง ฉันอยากที่จะมีความสุขกับโลกใบนี้ไปตราบนานเท่านาน!"


           "แต่ดูฉันตอนนี้สิ ดูมือของฉัน ดูสิ่งที่เกิดขึ้น ดูว่าฉันสูญเสียอะไรไปบ้าง..ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว.." เจ้าหญิงผ่อนมือที่จับคอเสื้อคอเมกุมิลง


           "จันทรา.."


           "ออกไปซะ.."


           "ไสหัวออกไปซะ ฉันไม่ต้องการคนอย่างแก ที่ฉันต้องการมีเพียงคนที่เข้าใจฉัน ที่ฉันต้องการมีเพียงอัลกามาร์ คนอย่างแกจะไปตายที่ไหนก็ไปเลยไป!"


           เจ้าหญิงแห่งจันทราผลักไสเมกุมิ หญิงสาวนิวเจเนซิสที่มีแรงมากกว่านางถูกผลักไปตามแรงและล้มลง "..."


           "เมกุมิ พอเถอะ" เอเลนาเข้ามาปลอบเมกุมิจากข้างหลัง


           "อืม.." เมกุมิพยักหน้า น้ำตาของเธอหลั่งไหลออกมาไม่หยุด


           ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน และตอนนั้นเองก็มีคนมารับพวกเธอแล้ว


           ได้ยินเสียงของเครื่องจักรขนาดใหญ่ เกิดแรงลมรุนแรงไปทั่วทั้งบริเวณ แต่บรท้องฟ้านั้นกลับไม่มีสิ่งใด และแล้วก็ได้ยินเสียงจอด และอากาศที่วางเปล่าก็มีประตูเลื่อนเปิดลงมา


           หญิงสาวผมสีเหลืองทองเดินลงมาจากยานบินล่องหนนั้น


           "มารับแล้วค่ะ คุณเอเลนา คุณโคโตฮะ คุณเมกุมิ"


           "เอมิลี ?" โคโตฮะเดินไปหาหญิงสาวที่ลงมารับ "ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะมารับด้วยตัวเอง"


           "พอดีเอาแต่อยู่เฉย ๆ ที่เทียเตอร์แล้วก็รู้สึกอยากจะออกมาสำรวจโลกภายนอกสักนิดก็ยังดี อย่างไรตอนนี้ก็มีนิวเจเนซิสอยู่ที่เทียร์เตอร์เพียงพอสำหรับการป้องกันการรุกรานที่ไม่รุนแรงจนเกินไปในเวลาที่ฉันไม่อยู่"


           "เข้าใจความรู้สึกดีเลยล่ะ ต่อให้เป็นนิวเจเนซิสผู้ถูกเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมีอารมณ์เบื่อได้สินะ" โคโตฮะบอก


           "ไม่ใช่แข็งแกร่งที่สุดหรอกค่ะ คนที่แข็งแกร่งที่สุดยังคงนิทรารอคอยเวลาที่จะตื่นขึ้นอีกครั้งอยู่ค่ะ" เอมิลีแก้ไข


           "นั่นสินะ"


           "ถ้าเช่นนั้นก็กลับกันเถอะค่ะ"


           "ได้" โคโตฮะพยักหน้า และเรียกเอเลนากับเมกุมิ "เอเลนา เมกุมิ!"



           "เมกุมิ เอเลนาเรียกแล้วนะ"


           "อืม ฉันได้ยินแล้ว" เมกุมิทำเหมือนกับมบางอย่างจะพูดกับเจ้าหญิงแห่งจันทราเป็นครั้งสึดท้าย แต่เธอก็ตัดสินใจไม่พูดออกไปและเดินไป


           เอเลนาที่อยู่ทิ้งท้ายรู้สึกลำบาก ปกติเมกุมิจะเป็นคนที่ร่าเริงและคอยปลอบใจคนอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอเคยเห็นด้านนี้ของเธอ และน้ำตาของเมกุมิ


           แต่หญิงสาวผมสีเขียวมรกตก็ไม่อาจชิงชังเจ้าหญิงที่ใจแตกสลายได้ สายตาของเธอมองดูนางด้วยความรู้สึกที่ซึมเศร้า


           และแล้วเจ้าหญิงแห่งเพลิงสีชาด เจ้าหญิงแห่งภาพสะท้อน และเจ้าหญิงแห่งมรกตก็กลับขึ้นยานของนิวเจเนซิสที่มารับ และเมื่อประตูนั้นปิดลง ก็ได้ยินเสียงของยานที่กำลังขึ้นและบินจากไป


           "ลาก่อนนะ" ถึงจะมองไม่เห็นแต่เจ้าหญิงแห่งยุติธรรมก็โบกมืออำลาไว้ก่อน


           เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลก็โบกมือเบา ๆ ส่วนเจ้าหญิงแห่งหอคอยโบกมือแบบอาย ๆ รวมถึงเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาเองก็โบกมือด้วย


           เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงยืนมองภาพที่กลมกลืนกันและคาดคะเนตำแหน่งของยาน ก่อนที่จะรู้สึกว่ายานได้บินออกไปแล้ว


           "เอาล่ะ แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อกันดีล่ะ เจ้าหญิง ?"


           "ก่อนอื่นก็คงต้องบูรณะดินแดนนี้ขึ้นใหม่ แล้วจากนั้นก็ค่อยเริ่มทำสิ่งอื่นต่อ" เจ้าหญิงตอบ


           "อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนนะคะ แต่ว่าถ้าตั้งใจจริงล่ะก็ไม่แน่ว่าปลายทางนั้นอาจจะมีสิ่งที่ดีรออยู่" คำพิพากษากล่าว


           "ฉันยินดีช่วยเสมออยู่แล้ว" ยุติธรรมเอาด้วย ด้วยใจมุ่งมั่นเกินร้อย


           "ข้าเองก็พร้อมจะให้ความเมตตากับเหล่าพ้องมิตรอยู่เสมอ มาร่วมกันสร้างสรวงสวรรค์ให้กับดินแดนแห่งนี้กันเถอะค่ะ" เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลพร้อมที่จะช่วย


           "ฉ..ฉันเองก็จะช่วย" เจ้าหญิงแห่งหอคอยพูดขึ้น


           "ขอบคุณนะทุกคน" เจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงรู้สึกยินดี


           ที่เหลือก็..


           "เราจะทำอย่างไรกับพวกนางล่ะ ?"


           เจ้าหญิงแห่งจันทรา และเจ้าหญิงทั้งสามที่นอนสลบอยู่ อาการของพวกนางมากเกินกว่าที่จะสามารถกลับมาปกครองประเทศได้ และรุนแรงจนเกินที่เยียวยาไปแล้ว


           สุดท้ายคำตอบที่ออกมาจากปากของเจ้าหญิงแห่งเจ้าหญิงนั้นก็คือ..


           "ตั้งแต่นี้ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับทางที่พวกนางเลือก หากพวกนางต้องการจะหาย สักวันหนึ่งก็ย่อมหาย หากพวกนางไม่ต้องการ พวกนางก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป เส้นทางของพวกนาง ขึ้นอยู่กับพวกนางแล้วว่าจะเลือกทางใด.."










           นิวเจเนซิสที่ขึ้นเครื่องออกมาจากเขตแห่งเจ้าหญิงแล้ว แต่พวกเธอก็ยังไม่เลิกคิดถึงเรื่องของพวกนาง จนกระทั่งเอเลนาที่รู้สึกสงสัยจึงเอ่ยปากขึ้น


           "จะว่าไป ทำไมถึงต้องเหลือเจ้าหญิงถึงเก้านางในการเปิดประตูงั้นหรือ ทั้งที่ตามปกติแล้วน่าจะเป็นแบบอื่นแท้ ๆ"


           "นั่นสินะ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน" โคโตฮะตอบ


           "บางที.." โคโตฮะที่เงียบมาตลอดทาง ในที่สุดก็ส่งเสียงออกมา
           "..บางทีนะผู้ที่คิดกลไก คำสาปรองเท้าแก้วนี้ขึ้นมา คงต้องการจะใช้ระบบนี้เพื่อคัดเลือกเจ้าหญิงที่มีความสามารถในการที่จะมาปกครองดินแดนต่อไปล่ะมั้ง"


           "..."


           เมื่อทั้งสองเงียบไปเมกุมิก็รู้สึกแปลก ๆ "อะไรเล่า~ก็แค่ตอนไปแก้ไขปริศนาห้องลับ บังเอิญไปอ่านเจอข้อความเข้าน่ะ เลยคิดว่าคนที่สร้างกลไลนี้น่าจะคิดแบบนั้น"


           "ก็เป็นไปได้นะคะ" เอมิลีที่ฟังอยู่ก็เห็นด้วย "ในอดีตที่ผ่านมา เจ้าหญิงเริ่มแรกของอาณาจักรต่าง ๆ ของดินแดนแห่งอาณาจักรต่างมีแต่เจ้าหญิงที่เห็นแก่ตัว แต่พักหลังมานี้เหล่าเจ้าหญิงผู้มีความสามารถต่างปรากฏให้เห็นมากขึ้นจนน่าตกใจเลยล่ะค่ะ"


           "แต่ว่าถ้าเกิดเจ้าหญิงที่ไม่ดีรอดไปล่ะ ?"


           "เรื่องนั้นก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องก็ปีถัดไปค่ะ เป็นระบบที่เสี่ยงมาก เพราะไม่มีทางรู้ว่าใครจะเหลือรอด หรือใครจะตาย ดังนั้นสำหรับตัวฉันเองก็ไม่ยอมรับว่าเป็นระบบที่ดีค่ะ" เอมิลีบอก


           "แต่ในที่สุดกลไล คำสาปนี้ก็จบลงแล้ว เหล่าเจ้าหญิงที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้ก็ดูจะสามารถนำดินแดนในตอนนี้ได้" โคโตฮะคิด


           "อืม นั่นสินะ" เมกุมิเห็นด้วย แต่ว่าสำหรับเรื่องของจันทราเธอเองก็ไม่มั่นใจ


           "แต่ว่าดีจังเลยนะคะ พวกเจ้าหญิงน่ะ" เมกุมิแสดงสีหน้าปั้นยาก มีความรู้สึกอิจฉาเล็ก ๆ อยู่ในใจของเธอ
           "พวกนางสามารถปลดเอกออกจากโชคชะตาของตัวเองได้..แต่ว่าพวกเรา นิวเจเนซิส เมื่อไรจะสามารถออกจากโชคชะตาอันแสนโหดร้ายนี้ได้กันนะ"


           "..." คำพูดของโคโตฮะทำเอาทุกคนเงียบ ทั้งตอนนี้และอนาคตข้างหน้า สำหรับนิวเจเนซิสแล้วล้วนมีแต่ขวากหนาม และเส้นทางที่ไม่แน่ไม่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วก็ทำให้ความรู้สึกเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


           แต่แล้วเอเลนาก็พูดขึ้นว่า


           "ก็ต้องเลือกที่จะก้าวต่อไป ต่อให้ทางข้างหน้ามีแต่ความสิ้นหวัง ต่อให้ต้องประสบพบกับเรื่องที่เลวร้าย พวกเราก็จะต้องก้าวต่อไป เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตานั้นด้วยมือของพวกเราเอง ด้วยความหวังและความเป็นไปได้ที่พวกเรามี เพื่อที่จะสร้างปาฏิหารย์ขึ้น.."


           ทั้งสามฟังคำพูดของเอเลนาเงียบ ๆ ไม่มีใครที่คิดโต้แย้งเธอ และต่างมีกำลังใจขึ้นก็เพราะเธอ


           เมกุมิจึงลุกออกจากที่นั่งและเข้าไปโผกอดโคโตฮะ "นั่นสิเนอะ~เมกุมิ!


           "เมกุมิ จู่ ๆ ทำอะไรน่ะ ?"


           "เอ๋ ฉันด้วยสิ" เอเลนาเข้าไปกอดโคโตฮะอีกคน


           "เอเลนาก็ด้วย เดี๋ยวสิแบบนี้ฉันอึดอัดนะ!"


           "ฮ่า ๆ เอาน่า ๆ คลายเครียดไง คลายเครียด" เมกุมิที่รอยยิ้มกลับคืนมาแล้ว


           โคโตฮะที่กำลังลำบากแต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความสุข


           และจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยพลังของเอเลนา


           เอมิลีคิดว่าต่อให้ทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร วันพรุ่งนี้ก็ย่อมมาถึง และนั่นก็จะทำให้ ความหวัง, ความเป็นไปได้ และปาฏิหารย์บังเกิดขึ้น...










          เจ้าหญิงแห่งจันทราแหงนหน้ามองท้องฟ้า และคิดถึงคำกล่าวของผู้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองปรารถนาที่สุด แล้วถามกับตัวเองว่า.. 


           'ความสุขคืออะไร ?'
















      เขตโลกใหม่   


           ณ ใจกลางเมืองยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีมากหน้าหลากหลาย เสียงของการจราจรที่คับคั่ง และผู้คนที่ไม่เคยหลับใหล โลกที่มีมีเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้ิย่างมีความสุข เครื่องอำนวยความสะดวกที่พร้อมให้บริการทุก ๆ คน อัตราการเกิดเหตุคดีขึ้นเกือบเป็นศูนย์


           ดินแดนที่เพรียบพร้อม ดินแดนอันเปรียบเสมือนเสมือนสรวงสวรรค์ของ มนุษย์


           บนตึกสูงเสียดฟ้าชั้นสูงสุด ประตูห้องได้ถูกเปิดออก หญิงสาวผมหางม้าสีดำในชุดเมดเดินเข้ามาอย่างน้อบน้อม และพูดกับบุรุรษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลางทอดสายตาออกไปมองแสงสีของเมืองเบื้องนอก


           "ขออภัยที่เข้ามารบกวนค่ะ ท่านชูจิ"


           "อิบูกิรึ มีอะไร ?"


           "คารินำ 'หัวใจ' กลับมาได้สำเร็จแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังนำไปยังห้องจัดเก็บเพื่อรอคอยเวลาที่เธอจะตื่นขึ้นมา"


           "งั้นรึ เยี่ยมไปเลย" รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าของชายหนุ่ม "ไปบอกคาริว่าเดี๋ยวมารับรางวัลจากฉัน เป็นการส่วนตัวนะ"


           "ค่ะ ทราบแล้วค่ะ" อิบูกิโค้งคำนับ และออกไปจากห้อง


           "แผนการสำเร็จไปอีกหนึ่งแล้วนะคะ ท่านพี่" เสียงของหญิงสาวที่อยุ่มุมห้อง เธออยู่ในชุดเดรสสีขาว มีผมยาวสีทองสลวย มีความงดงามจนน่าหลงใหล


           "ใช่แล้วคาเรน แต่นี่ยังเป็นแค่เริ่มต้นเท่านั้น" ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน
           "คาเรน เธอคิดว่าเมืองนี้สวยงามไหม"


           "ค่ะ คาเรนเองก็คิดเหมือนกับท่านพี่ค่ะ"


           "เมืองของเหล่ามนุษย์ เผ่าพันธุ์ที่เยี่ยมยอดที่สุดในทุก ๆ สายพันธุ์ และในอีกไม่นานไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่ไม่ว่าที่ใดก็ตาม พวกเราก็จะทำให้ที่แห่งนั้นงดงามเหมือนกับเมืองนี้" ชายหนุ่มกล่าว


           "ค่ะ ไม่ว่าท่านพี่จะประสงค์อะไร หนูก็จะคอยอยู่ข้างกายท่านพี่อยู่เสมอ" คาเรนพูด "รวมถึงพวกเธอด้วย"


           "ขอบใจนะคาเรน น้องรักของพี่ แล้วก็พวกเธอที่ยอมเสียสละเพื่อมวลมนุษย์ด้วย" ชายหนุ่มขอบคุณ และเดินมาที่โต๊ะ บนโต๊ะนั้นมีแฟ้มสีดำที่เขียนบนหน้าปกว่า DEUS Profile อยู่


           "พวกเราจะเริ่มดำเนินแผนการขั้นถัดไปกันเลย"


           เขาเปิดไปหน้าแรกของแฟ้ม บนหน้าปกนั้นเขียนคำคำหน่งเอาไว้ ซึ่งก็คือคำว่า..


           ปีศาจ


           "มนุษย์จะฆ่าปีศาจ ไม่ใช่ทั้งเทพธิดา, ยมฑูต ผู้ขัดต่อพระเจ้า หรือผู้ไม่สมบูรณ์ แต่จะเป็นด้วยน้ำมือของมนุษย์เราเอง"


           "สงครามใหญ่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น..พวกเรามวลมนุษย์จะต้องเป็นผู้ชนะ"


           สายตาของชูจิมองออกไปนอกตึกของตนเอง มองไปนอกเมืองแห่งโลกใหม่แห่งนี้ มองไปเกินกว่าสุดขอบโลก มองไปยังอนาคตที่มวลมนุษย์จะลุกขึ้นยืนหยัด กับอำนาจของเหล่า
      สีต่าง ๆ


           โลกใบนี้จะต้องเป็นของมนุษย์..
















      ..... Fake Loop Color : R&Y&B&BL&W .....

      .....; 365 Day & 26 Princess.....
       














      365 วันหลังจากที่โลกเก่าล่มสลาย

      เขตแห่งอาณาจักร



           หลุมศพจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ให้เกียรติกับเหล่าบุคคลที่เสียชีวิตไปกับเหตุการณ์อันโหดร้าย ปราสาทแห่งธริษตรีไม่ได้ถูกบูรณะสร้างกลับคืนมา แต่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ให้ระลึกถึงบุคคลที่จากไปของทุกคนในดินแดนแห่งนี้


           เจ้าหญิงวางดอกไม้ช่อหนึ่งให้เกียรติกับเจ้าหญิงที่แม้จะไม้นอนอยุ่อย่างสงบใต้หลุมศพนี้ แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้นึกถึงนางได้


           ..เจ้าหญิงแห่งธริษตรี..


           "เจ้าหญิงแห่งธริษตรีคะ เขตแห่งนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่แล้ว นับจากวันนั้นมาพวกเราก็ร่วมมือกันเพื่อพัฒนาดินแดนนี้ให้ไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร พวกเราก็จะข้ามผ่านอุปสรรคไปให้จงได้ ได้โปรดมอบพลังให้แก่พวกเราด้วย"


           เบื้องหลังของนางคือเจ้าหญิงสี่นางที่รอดมาจากโศกนาฏกรรมเดียวกัน
           เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรม, เจ้าหญิงแห่งรัตติกาล' เจ้าหญิงแห่งหอคอย และเจ้าหญิงแห่งคำพิพากษา แต่ละนางก็มาวางช่อดอกไม้ให้ความเคารพแก่นางเวียนผลัดกันไป


           เมื่อเสร็จสิ้นพวกนางก็เดินจากออกมาจากแหล่งหลุมศพ ระหว่างทางเจ้าหญิงแห่งยุติธรรมก็พูดขึ้น


           "ตอนนี้เขตแห่งไวรัสกำลังจะรุกรานเข้ามาในเขตของเรา คงต้องเตรียมการรับมือเป็นการด่วนแล้วล่ะ"


           "อืม ฉันรู้แล้ว พอกลับไปต้องเรียกประชุมเหล่าเจ้าหญิงและเตรียมการรับมือทันที" เจ้าหญิงตอบ


           "หลังจากที่สรวงสวรรค์ได้ล่มสลายลง สงครามระหว่างนิวเจเนซิสและเหล่าปีศาจ โลกก้ลุกเป็นไฟ ไม่ว่าเขตใด ๆ ก็ล้วนแต่เริ่มรุกรานเข้าเขตอื่น ๆ เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ของตน" เจ้าหญิงแห่งรัตติกาลกล่าวเสริม


           "เพราะฉะนั้นพวกเราถึงต้องดูแลเขตนี้ให้ดีที่สุด เพื่อมไ่ให้เขตไหหน ๆ มายึดครองได้ไงล่ะคะ" เจ้าหญิงแห่งหอคอยพูดด้วยความมุ่งมั่น


           "เจ้าหญิงแห่งหอคอยกล่าวได้ถูกต้องแล้ว" เจ้าหญิงชมเชย
           "พวกเราเป็นกำลังหลักของเขตแดนแห่งนี้ พวกเราจะสู้จนหยดสุดท้ายเพื่อรักษาบ้านเกิดของพวกเราไว้ และเพื่อให้เป็นเช่นนั้นต้องขอความร่วมมือจากทุก ๆ คนในทุกอาณาจักรเพื่ออนาคตของเขตแห่งอาณาจักรของเรา"


           "พวกเราพร้อมเป็นกำลังให้ท่านเสมออยู่แล้ว" เจ้าหญิงแห่งความยุติธรรมชูนิ้ว "เจ้าหญิงแห่งเจ้า่หญิง ไม่สิ เจ้าหญิงแห่งธริษตรี"


           เจ้าหญิงแห่งธริษตรีคนใหม่หน้าแดงเพราะนางเองก้ยังไม่คุ้นชินกับนามใหม่นี้เสียที


           "ธริษตรี.." เจ้าหญิงแห่งคำพิพากษาที่เงียบมาตลอดทางพูดขึ้น ทำให้เจ้าหญิงธริษตรีคนใหม่หยุดฟัง
           "คิดว่าพวกนางจะเป็นอย่างไรบ้าง ?"


           "..." พวกนางที่ว่าเป็นใครเจ้าหญิงทั้งสี่รู้ดี แต่ไม่มีใครที่สามารถพูดเรื่องนั้นออกมาได้อย่างพอใจนัก


           แต่ในฐานะเจ้าหญิงแห่งธริษตรีมีแต่ต้องพูด เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความแน่วแน่ของตน
           "พวกนางเลือกเส้นทางของนางแล้ว พวกเราไม่อาจจะไปเปลี่ยนแปลงหรือกำหนดเส้นทางของพวกนางได้ หากเส้นทางนั้นคือเส้นทางที่พวกนางพอใจก็ได้แต่ยอมรับ"


           "นั่นสินะ ถึงเราจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องพูดแบบนี้ แต่ว่าฟังจากปากตรง ๆ ของท่านก็ดีกว่าจริง ๆ"


           จากนี้ต่อไปอนาคตของอาณาจักรแห่งนี้ก็ขึ้นอยู่การขับเคี่ยวของเหล่าเจ้าหญิง นับจากนี้เส้นทางแห่งอนาคตจะต้องลำบากมากขึ้น แต่ว่าพวกนางคิดว่าหากร่วมมือกันจะต้องก้าวผ่านไปได้อย่างแน่นอน















           ภายในห้องที่เปิดไฟสีชมพูอ่อน บรรยากาศที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม เสียงเพลงเบา ๆ ช่วยเสริมบรรยากาศ กลิ่นของเทียนหอมที่หอมฟุ้งให้ความรู้สึกผ่อนคลาย


           เสียงครางของหญิงสาว ที่กำลังถูกบุรุษเบื้องหลังขยับเข้า-ออก


           สีหน้าของหญิงสาวไร้ซึ่งความเจ็บปวด กลับกันนางกลับรู้สึกมีความสุข จากสีหน้านั้นทำให้รู้ว่านางกำลังรู้สึกดีมากถึงขนาดไหน


           "จันทรา รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ?" ลุงร่างอ้วนผิวคล้ำสอบถามหญิงสาว


           "เยี่ยมไปเลยค่ะ สุดยอดไปเลยค่ะ ไม่อยากให้จบเลยค่ะ"


           "งั้นจะเร็วขึ้นอีกนะ"


           เสียงร้องของหญิงสาวดังขึ้นเป็นระยะ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ


           จนกระทั่งมาถึงจุดสุดยอด นางก็ส่งเสียงสูงออกมา


           "นี่จันทรา หนูชอบการที่เป็นเจ้าหญิง หรือทำแบบนี้มากกว่ากันหรือจ๊ะ ?"


           "ถามทำไมหรือคะ ?"


           "พอดีลุงอยากรู้น่ะ หนูที่เป็นถึงเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรจันทรา เพราะอะไรถึง..ทำไมถึงชอบที่จะมาทำแบบนี้ให้ล่ะ"


           "หนูชอบแบบนี้ค่ะ ชอบที่สุดเลย เพียงแค่รู้สึกมีความสุข ไม่จำเป็นต้องคิด ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป แรก ๆ อาจจะเจ็บบ้าง แต่พอชินไปแล้ว ก้มีแต่ความสุขที่ไหลพรุ่งพรู่เข้ามา หนูชอบชีวิตแบบนี้ และไม่คิดที่จะหลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมเด็ดขาด"


           "ไม่ใช่แค่หนู อดีตเจ้าหญิงแห่งดวงดารา เจ้าหญิงแห่งความเยาว์วัย และเจ้าหญิงแห่งเวทมนตร์เองก็เช่นกัน คนแรกเพื่อที่จะได้ยาถึงกับยอมสละทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น และกลายเป็นทาสของยากับเหล่าผู้ชาย คนที่สองกลายเป็นผู้หญิงที่แทบจะมีชีวิตอยู่ได้เลยหากขาดของ..ผู้ชาย และเที่ยวไล่หาสิ่งเหล่านั้นมาเพื่อประทังชีวิตอย่างไม่สิ้นสุด คนสุดท้ายก็มีความอยากและลองในสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ และกลายเป็นที่ฮอตในหมู่ ๆ กลุ่มผู้ชาย จนทุกคนต่างเรียกเธอว่า เจ้าหญิงแห่งกระหรี่"


           "หนูเองก็เช่นกันค่ะ" จันทราซบอกลงไปที่ร่างของลุงอ้วนลงพุง


           "หนูเองตอนนี้อยู่ไม่ได้หากขาดความสุข หนูใฝ่หาความสุข แต่ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถตอบสนองความสุขของหนูไม่ได้เลย ยกเว้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้น.."


           อดีตเจ้าหญิงส่งสายตาอ้อนวอนอย่างน่ารักน่าชัง "อย่าทิ้งหนูไปเลยนะคะ ถึงมือของหนูจะน่ารังเกียจแต่หนูสัญญาว่าจะเก็บไว้ในถุงมือตลอด ไม่นำออกมาเด็ดขาด"


           "ไม่ทิ้งหรอก ทั้งลุงแล้วก็คนอื่น ๆ ด้วย ใช่ไหมพวกเรา ?"


           "ใช่!" ผู้ชายนับสิบต่างเข้ามาในห้องกันอย่างพร้อมเพรียงเพื่อที่จะ..


           "เอาล่ะ พวกเรามาทำให้เจ้าหญิงแห่งจันทรามีความสุขกันมากขึ้นเถอะ"


           กลุ่มผู้ชายต่างพากันกรูเข้าไป อดีตเจ้าหญิงแห่งจันทราเปี่ยมไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม


            ชีวิตก็การเป็นหมูเพศเมีย..


            นี่ล่ะคือ..ความสุขของฉัน..


            นี่ล่ะคือ..ความสุขที่แท้จริง..










      ........HAPPY END........










      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×